24 ตุลาคม 2024

หลายคนมองว่า นอกเหนือจากเกมฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังซัดกันอย่างมันมาก เพราะทีมตัวเต็ง ยังพลาดไม่เป็นกระบวน

ใครจะคิดว่า ทีมอาร์เจนติน่า จะพลาดท่า พลิกเป็นฝ่ายพ่าย ให้กับทีมซาอุดีอาระเบีย

และทีมเยอรมัน จะพ่ายแพ้ต่อทีมญี่ปุ่น

ทำให้สีสันของฟุตบอลโลกในปีนี้ ร้อนฉ่า ยากที่จะคาดเดา

ซึ่งสำหรับในประเทศไทย หลายคนมองว่าเรื่องที่มันไม่แพ้กัน ก็คือ การงัดกันของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” กับ “สันธนะ ประยูรรัตน์”

อดีตเจ้าพ่ออ่าง ปะทะกับ อดีตนายตำรวจที่ถูกออกจากราชการ

บรรดาผู้ที่มองแบกกราวด์ ประวัติความเป็นมาของคนคู่นี้ บอกว่าทั้งคู่ “ไม่ธรรมดา”

ให้จับตาเรื่องที่แฉ เรื่องที่ซัดกันไปมาให้ดี จะรู้ว่าประเทศนี้ มีอะไรที่ซุกเอาไว้ใต้พรมอีกมาก แล้วล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเน่าเฟะที่เหลือเชื่อจริงๆ

จากที่คิดว่า เป็นเพราะ ชูวิทย์ ไปฟัดกลุ่มทุนจีนสีเทา กลุ่มนายทุนจีนเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย ซึ่งน่าจะมีคอนเนกชั่นกับสันธนะ ก็เลยถูกสันธนะส่งคนเข้าไปแอบถ่าย ว่ามีการใช้ห้องน้ำแบบแปลกในโรงแรมของอาณาจักรเดวิส

เหมือนจะตั้งประเด็นสงสัย ทำนองว่าจะมีการมั่วสุมยากันหรือเปล่า

ซึ่งในวันที่สันธนะไปเปิดเกม ท่าทีของ ชูวิทย์ ยังไม่ได้เกรี้ยวกราด ยังเรียกหาเป็นพี่เป็นน้องกันอยู่เลย แต่หลังจากข้ามวัน ท่าทีของชูวิทย์ คือ การสวนกลับ ด้วยการเดินหน้าแฉกลุ่มทุนจีนสีเทา แบบไม่ได้สนใจการมาเยือนของสันธนะ

และกลายเป็น “คู่เดือด”ออกจอ นับตั้งแต่วันที่ ชูวิทย์ ไปยื่นเอกสารให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่สถานีตำรวจทองหล่อ แล้วปรากฏว่า สันธนะ ไปยืนเคาะประตูห้องประชุมแบบไม่ให้ราคา หวังจะเข้าไปพูดจาชี้แจง

ซึ่งก็ทำให้สังคมงงในความระห่ำของสันธนะ พร้อมกับงงว่า แล้วทำไมตำรวจ สน.ทองหล่อ ไม่ทำอะไร ปล่อยให้มีคนไปเคาะประตูห้องที่ผู้บังคับบัญชาคุยงานอยู่ได้อย่างไร

แต่ชูวิทย์นั้นออกอาการเดือดจัด ถึงกับท้าชกออกจอกันเลยทีเดียว พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเรียกของ สันธนะ ไปเป็น “สัน”อย่างอื่น

แล้ววีรกรรมตามล้างตามฟัดกันแบบไม่ลดละก็เกิดขึ้นมาเป็นระลอก

ชูวิทย์ แฉกลุ่มทุนจีนสีเทาไม่หยุด ในขณะที่ สันธนะ ก็เปลี่ยนจากประเด็นคลิปห้องน้ำโรงแรม ขยายต่อมาเรื่องของการตรวจสอบว่า ตอนที่ชูวิทย์ขายทิ้งธุรกิจอาบอบนวดทั้งหลายนั้น ได้มีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่

เหมือนเป็นมวยถูกคู่ แต่คนก็ยังสงสัยอยู่ว่า เรื่องนี้มีเบื้องหลังอะไรที่ลึกๆหรือไม่

ซึ่ง บางกอกทูเดย์ ก็เชื่อว่า เรื่องนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เพราะถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ปูมหลังต่อปูมหลังแล้ว แต้มต่อ ความเหนือชั้น เป็นของชูวิทย์

ชัดเจนว่า เกมนี้ สันธนะ เลือกที่จะเล่นเกมติ๊ดชึ่ง เต้นวนรอบๆ คอยยั่ว คอยแหย่ประสาทชูวิทย์ มากกว่าที่จะเข้าปะทะตรงๆ

ท้าชก ยังไม่เอาเลย แม้จะถูกเย้ยหยันให้ไปนุ่งกระโปรงก็ตาม

ดังนั้น วิเคราะห์แล้ว การงัดกันครั้งนี้ เป็นไปได้สูงที่มี “ใบสั่ง” เข้ามาเอี่ยว

และเป็นไปได้สูงมาก ที่จะเป็น “ใบสั่งทางการเมือง”

เพราะอย่างที่บอก เทียบกันแล้ว ชูวิทย์เหนือกว่าสันธนะมาก เพราะสำหรับสไตล์โฉบเฉี่ยวแบบสันธนะนั้น คนในยุทธจักรรู้ดีว่าไม่มีอะไร อย่างเก่งในท้องก็มีแต่ “ขี้”เท่านั้น ผิดกับ ชูวิทย์ ที่แม้จะล้างมือในอ่างทองคำ แต่ในท้องก็ยังมีอาณาจักรมีธุรกิจ

ต่างกันขนาดนี้ ถามแบบตรงไปตรงมา หากชูวิทย์ ชนะสันธนะในเกมนี้ แล้วจะได้อะไรอย่างนั้นหรือ

เอาธุรกิจเอาเงินล้านไปเดิมพันกับขี้หมากองเดียว ชนะแล้วดีใจที่ได้ขี้หมาอย่างนั้นหรือ

แต่ถ้าเกิดฟลุ๊ก สันธนะบอลรองบ่อน เป็นฝ่ายที่ชนะขึ้นมา การล้มยักษ์เดวิสอย่างชูวิทย์ได้ สันธนะมีแต่ได้กับได้ ชื่อชั้นพุ่งพรวดยิ่งกว่าขึ้นลิฟท์เสียอีก

จึงน่าคิดว่า เกิดอะไรขึ้น จึงทำให้ชูวิทย์กัดไม่ปล่อยกับทุนจีนสีเทา ชนิดที่ไม่กังวลว่าผลกระทบจะบานปลายไปไกลแค่ไหน หรือกระทบใครบ้าง

อย่างกรณีการพูดถึงอดีตรัฐมนตรี ที่เคยอยู่พรรคพลังประชารัฐมาก่อน ซึ่งต่อให้ไม่บอกชื่อ คนก็สงสัยอยู่แล้วว่า น่าจะหมายถึง “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ก่อนที่ สันธนะจะเอ่ยชื่อออกมาโยงเสียอีก

แม้ ธรรมนัส จะออกมาปฏิเสธ แต่ก็ยังคงมีคนที่สงสัยอยู่ไม่น้อย

ยิ่งต่อมามีการเปิดประเด็นเรื่อง “ผู้ใหญ่ที่ชอบสะสมนาฬิกา” ตามมาเป็นระลอกที่สอง

ถามว่า คนในสังคมไทย หากมีใครพูดถึงเรื่องสะสมนาฬิกาของระดับผู้ใหญ่ขึ้นมา แว่บแรกยังไงก็อดที่จะคิดไปถึงคดีนาฬิกาเพื่อนไม่ได้ ต่อให้ไม่มีการเอ่ยชื่อหรือระบุชื่อก็ตาม

ประเด็นนี้ จึงทำให้ยิ่งอดสงสัยไม่ได้ว่า “หรือมีใบสั่งทางการเมืองจริงๆ”

เพราะในบังเอิญที่ คนที่อยู่ในข่ายเดาเกี่ยวกับปริศนาของชูวิทย์ ยังไงก็ลากโยงไปให้คิดถึงชื่อ “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” กับ ธรรมนัส ไม่ได้จริงๆ

การแตกกันของ 3 ป. ในระดับที่ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เตรียมบ๊ายบาย พี่ใหญ่ เพื่อไปเข้าสังกัด รวมไทยสร้างชาติ ทั้งๆที่เป็นพรรคหน้าใหม่ เป็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว จากการเดินเกมหาเสียง เดินเกมดูด ส.ส.ให้มาร่วมหนุน

ส่วน พลังประชารัฐ ที่แน่นอนว่า ประวิตร ได้รับการยอมรับอย่างมากทั้งการเป็นหัวหน้าพรรค และการเป็นแคนดิเดทนายกฯ

งานนี้จึงไม่เพียงแต่การแย่งกันเป็นนายกฯ แย่งจำนวน ส.ส.ระหว่างพลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติ และยังต้องแย่งเสียงสนับสนุนจาก 250 ส.ว.อีกด้วย

การไปจากพี่ใหญ่ ไปจากพลังประชารัฐ ของคนชื่อประยุทธ์ ทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆถึงการคืนสู่เหย้าพลังประชารัฐของคนชื่อธรรมนัส ผู้กองที่ท้าชนนายพล

น่าคิดว่า ทิศทางการแฉข้อมูลของชูวิทย์ เหมือนกับ ต้องการให้ ประวิตร กับ ธรรมนัส ตกเป็นจำเลยสังคม จนอาจจะมีผลต่อศึกเลือกตั้งในอนาคตใช่หรือไม่???

ปัญหาคือ หากมีคนที่ซี้ย่ำปึ้กกับชูวิทย์ ที่ไปรับใบสั่งทางการเมืองให้เล่นงานอย่างที่สงสัยกันนั้น ถ้ามีจริง ๆ คนระดับนี้จะต้องเป็นประเภท “คนเสื้อสีเขียว”ที่ไม่เอา ประวิตร เท่านั้น

และคงจะเป็นคนเสื้อสีเขียวที่สนิทชิดเชื้อกับประยุทธ์อย่างยิ่ง เพราะหากทำสำเร็จ ประยุทธ์ คือคนที่น่าจะได้รับประโยชน์ทางการเมืองมากที่สุด

ประยุทธ์จะเอี่ยวหรือไม่เอี่ยว สั่งหรือไม่สั่งก็ตาม แต่มุกที่ปล่อยว่า จะอยู่อีกนาน ทำให้น่าคิดว่า เกมปะทะระหว่างชูวิทย์กับสันธนะไม่ธรรมดาแน่ๆ

หากไม่มีแบ็กใหญ่พอ สันธนะก็คงไม่บอกว่า จากนี้ไป หากเกิดอะไรขึ้นกับชูวิทย์ ก็ไม่เกี่ยวกับตนเองนะ เพราะชูวิทย์มีคนไม่ชอบเยอะ

งานนี้จึงน่าจับตามองอย่างยิ่ง พร้อมกับคำถามว่า “ชูวิทย์ไปกินอะไรมาหรือ?” ถึงได้กล้าเดินหน้าแฉ ชนิดที่สะเทือนไปถึงทิศทางการเมืองในอนาคตเช่นนี้

หรือเกมช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองในรอบนี้ จะเล่นกันแรงแบบเต็มคาราเบ้ล จริงๆ

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *