24 ตุลาคม 2024

วิพากษ์วิจารณ์การขรม กับการปรับครม 3 เก้าอี้รอบนี้ ได้ประโยชน์อะไรกับประชาชน???

เหลืออีกแค่ 3 เดือน ก็ครบวาระรัฐบาลแล้ว แถมบางเก้าอี้ อย่างเก้าอี้ของ “ผู้กองที่ท้าชนนายพล” ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่างมาตั้งแต่กันยายน 2564 แล้ว ก็ไม่ได้ตั้ง เพิ่งจะมาตั้งเอาตอนนี้

ยิ่งชัดเจนว่า เลือกอะไรระหว่างประโยชน์ของประชาชนกับประโยชน์ทางการเมือง

เพราะประโยชน์สำหรับคนชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นการซื้อเสียงซื้อเวลาขณะที่ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้

ระหว่างคำว่า “รู้จักพอ” กับคำว่า “ตัณหาไม่สิ้นสุด”

ปรับครั้งนี้ นริศ ขำนุรักษ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ตามมติพรรค จึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปขอบอกขอบใจอะไรกับประยุทธ์

เพราะการตัดสินใจของประยุทธ์ครั้งนี้ มีประเด็นมาจากความต้องการให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ ส.ส.มากกว่า 25 เสียง จะได้เสนอชื่อประยุทธ์เป็นนายกฯได้สมใจอยาก

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นได้แค่ 2 ปี เพราะแม้แต่ วิษณุ เครืองาม ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ทางด้านกฎหมาย ก็ยังให้สัมภาษณ์ชัดเจนเมื่อ 31 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า ประยุทธ์เป็นนายกฯได้อีกแค่ 2 ปีเท่านั้น เพราะการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน ไม่ต้องมาตีความอะไรกันอีกแล้ว

ศาลกำหนดจุดเริ่มต้นเอาไว้แล้ว ต่อให้ไม่บอกจุดจบ ก็แค่นับนิ้วมือ 8 นิ้วจากจุดเริ่มต้น ก็รู้แล้วว่าจุดจบอยู่ตรงไหน จะดันทุรังตะแบงให้อับอายไปกว่านี้ได้อย่างไร

เมื่อขายได้แค่ 2 ปี การจะให้รวมไทยสร้างชาติเป็นนั่งร้านได้สำเร็จ ก็ต้องไปดูดคน ดูดส.ส.ของพรรคพวกเพื่อนฝูง ไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐ หรือว่าประชาธิปัตย์ ในยามหน้ามืดอย่างตอนนี้ ได้อะไรก็ต้องเอา ประมวลจริยธรรมการเมืองยัดใส่ลิ้นชักไว้ก่อน

ประชาธิปัตย์โดนดูดส.ส.ไปซึ่งๆหน้า ก็ต้องฮึดฮัดเป็นธรรมดา เกมนี้จึงเข้าข่ายสำนวนที่ว่า “ตบหัวแล้วลูบหลัง” ก็ตั้งรัฐมนตรีช่วยให้ ซึ่งจริงๆก็เป็นโควต้าของประชาธิปัตย์เองนั่นแหละ ไม่ได้เป็นการตั้งเพิ่มหรือพิศวาสอะไรที่ไหน

หมากกลเกมเดียวกันเลยกับพลังประชารัฐ ในการตั้ง สุนทร ปานแสงทอง จากกลุ่มปากน้ำ หลังจากที่พลังประชารัฐระส่ำ เพราะมีคนถูกดูดเตรียมบ๊ายบายลุงป้อม ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปอยู่รวมไทยสร้างชาติกันหลายคน

มุมหนึ่งก็เลยปลอบขวัญเสียหน่อย ไม่ให้รู้สึกว่าเป็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่า ตัดบัวไม่เหลือใย

แต่ในอีกทางหนึ่งที่น่าคิดไม่น้อย ว่าเป็นการเล็งเป้าหมายไปที่กลุ่มส.ส.ปากน้ำหรือไม่

เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ ส.ส.ปากน้ำฮึดฮัดจะเอาเก้าอี้รัฐมนตรี ถึงขั้นตะเพิด อนุพงษ์ เผ่าจินดา ว่าถึงเวลาต้องลุกจากเก้าอี้มหาดไทยได้แล้ว

ครั้งนี้ประยุทธ์ซื้อใจว่า นี่ไงตั้งให้แล้ว ไปอยู่ด้วยกันไหมล่ะ?

ทั้งๆที่ behind the scene พี่ใหญ่ ประวิตร เป็นคนทุบโต๊ะ สั่งว่าถ้าไม่ตั้งรัฐมนตรีจากกลุ่มปากน้ำ มีปัญหากันแน่

ที่ร้าว จนถึงร้าวลึก ขนาดแย่งกันลงพื้นที่อุตลุด มีหวังถึงจุดที่ต้องแตกหักชัดเจน

ส่วนภูมิใจไทยที่เป็น good boy เพราะตั้งธงขอแค่ได้ร่วมรัฐบาลไปเรื่อยๆก็พอใจนั้น ประยุทธ์จึงถือว่ายังคงเอาอยู่ หนูไม่กล้าพยศ

แต่ที่มันสุดขีดในการตั้งรัฐมนตรีครั้งนี้จนกลายเป็นประเด็นกระฉ่อนฉาว ก็คือการตั้ง แด๊ก ธนกร วังบุญคงชนะ เป็นรัฐมนตรี

กระหึ่มทันที ว่านี่คือการ ตบรางวัลให้กับคนทำหน้าที่ “องครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์”

ก็เข้าใจได้ เพราะการใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกเพียงแค่ 3 เดือนเศษ แลกกับการให้ทำหน้าที่องครักษ์เข้มข้นขึ้น ก็ถือว่าคุ้มสุดคุ้มในมุมของประยุทธ์

ส่วน แด๊ก ธนกร ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าย่อมต้องดีใจจนหน้าบาน เพราะหลังจากที่รู้ตัวก่อนล่วงหน้าชัดเจนแล้ว ก็ได้โพสต์แพลมไว้ก่อนแล้วว่า ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ทำงานร่วมกับประยุทธ์เสมอ

ก็นี่ไงอยู่ร่วมจนวาระสุดท้าย ก่อนครบวาระ หรือแม้แต่ก่อนยุบสภา

หลายคนพยายามช่วยออกตัวให้ ด้วยการยกผลงานปะฉะดะทางการเมือง แบบไม่ห่วงภาพลักษณ์ ไม่คำนึงถึงอนาคตทางการเมือง ว่าทำขนาดนี้แล้วจะใจจืดใจดำไม่ตบรางวัลให้ได้อย่างไร

ก็ว่ากันไปแล้วแต่จะอ้าง แต่คำถามก็คือ “แล้วองครักษ์คนอื่นล่ะ ชะตากรรมเป็นอย่างไร”

องครักษ์อย่าง ปารีณา ไกรคุปต์ สุดท้ายจบอนาคตทางการเมือง ชนิดที่เจ้าตัวโอดครวญว่า โดนแบบนี้เหมือนกับโดนโทษประหาร

ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้รับการตบรางวัลกับเขาบ้างหรือไม่

และต้องไม่ลืมองครักษ์ที่ชื่อ เสกสกล อัตถาวงศ์ ซึ่งรายนี้ก็ ปะฉะดะทางการเมือง ไม่ได้น้อยกว่าแด๊ก ธนกร เลยด้วยซ้ำ

ชั่งน้ำหนักกันอย่างเป็นธรรม ต้องบอกว่าทำหน้าที่ถวายชีวิตให้ประยุทธ์มากกว่าธนกรเสียด้วยซ้ำ

เพราะนอกจากปะฉะดะทางการเมืองอย่างสุดกำลังแล้ว

ยังชนแหลกกับนายเก่า ชนิดที่ไม่สนใจเสียงด่าว่าเป็นคนเนรคุณเลยแม้แต่สักนิด

ใครจะด่าว่าไม่รู้จักบุญคุณ เนรคุณ เปลี่ยนขั้ว เป็นคนคบไม่ได้ โบ้ เสกสกล กล้ำกลืนรับไว้หมดโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน

แถมเมื่อถึงสถานการณ์คับขัน อุตส่าห์ออกไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ รอไว้ให้ หวังว่าอย่างน้อยจะได้เห็นผลงาน ถึงขนาดยอมหลีกทางให้คนอื่นเข้ามายึดพรรค เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคตามใบสั่ง

ส่วนตัวเองก็ระเห็จออกไปตั้งพรรคใหม่อีกรอบ นั่งเป็นหัวหน้าพรรคเทิดไท พร้อมประกาศชัดเจนว่าพรรคที่ตั้งขึ้นมาเป็นพรรคอะไหล่ให้กับประยุทธ์ครั้งนี้ ยืนยันชูประยุทธ์เป็นนายกฯเหมือนเดิมต่อให้เป็นได้แค่อีกเพียง 2 ปีก็เถอะ

เทียบกันด้วยใจเป็นธรรม คิดเอาเองก็แล้วกันว่า ระหว่าง “เสกสกล” กับ “ธนกร”ใครพลีกายถวายชีวิตให้ประยุทธ์มากกว่ากัน

ไม่แปลกที่มีข่าวสะพัดหลังจากที่รู้ว่าธนกรได้เป็นรัฐมนตรี น้ำตาของเสกสกลถึงกับร่วง

ผู้ใหญ่บางกอกทูเดย์ฝากปลอบใจ อย่าไปคิดอะไรมาก ในเมื่อคนเลือกเขาคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเขาเอง

เขาให้ราคาของคนรอบข้าง หรือแม้แต่ให้ราคาของคนชื่อ เสกสกล อัตถาวงศ์ เสียที่ไหนล่ะ

ชัดเจนกันแบบนี้แล้ว ขอให้จำคำเตือนที่เคยพร่ำบอกมาตลอดว่า tiger don’t cry ลูกผู้ชายต้องกลืนน้ำตาเอาไว้ข้างใน

ร้องออกมาเมื่อไหร่มันจะไม่ใช่เสือ มันจะกลายเป็นสัตว์ 4 ขาอย่างอื่นในสายตาของเขาไปเสียเปล่าๆ

ทั้งๆที่เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเทิดไท ได้ประกาศจุดยืนชูประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ ได้ยินกันทั้งประเทศ

ซึ่งเป็นการประกาศจุดยืน ก่อนการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่เพียงแค่ 4 วันเท่านั้น เขายังไม่ให้ราคา

แปลว่าในวันนั้น โบ้ เสกสกล ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองคือคนที่ไม่ได้ถูกเลือก ในขณะที่แด๊ก ธนกร รู้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

“การเมืองก็แบบนี้แหละโบ้เอ้ย จะเอาอะไรกับคนชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้แต่พี่ใหญ่เขายังตัดได้เลย จะเสียน้ำตาไปไย” มิตรสหายท่านหนึ่งและผู้ใหญ่ของบางกอกทูเดย์ร่วมกันกล่าว

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *