24 ตุลาคม 2024

เมาธ์กันสนุกปากกับภาพที่ปรากฏ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินสายลงพื้นที่ถี่ยิบ เหมือนจะแข่งบารมีวัดกระแสความนิยมกับ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นพี่ใหญ่ ในเมื่อยืนยันว่ายังรักกันดีไม่ได้แตกกัน

เช่นเดียวกับความไม่กล้าหาญพอในการที่จะยอมรับว่า ณ วันนี้ยากที่จะอยู่กับพลังประชารัฐได้แล้ว

และที่สำคัญพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งแอ่นทั้งอ้า รอรับขนาดนี้แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรหากไม่รู้ว่าประยุทธ์จะไป

ยิ่งการไม่สน ไม่แคร์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในการตั้ง พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช.ให้มาเป็นเลขานายกฯ ก็ชัดจนไม่รู้จะชัดอย่างไร แต่คนชื่อประยุทธ์ ก็ยังไม่มีความกล้าหาญทางการเมืองที่จะพูดให้ชัด ยังใช้การเล่นแง่เล่นเชิง แถมเล่นเกมหงุดหงิดใส่สื่อมวลชน โทษฐานรู้อยู่แล้ว ยังมาจี้ถามอยู่ได้

คนไม่มีความกล้าหาญจะตอบ ไม่มีปัญญาจะตอบ จะไม่หงุดหงิดได้อย่างไร

แค่ทุกวันนี้จากจุดผิดพลาดประโยคสะบั้นความสัมพันธ์ 3 ป. “จะไปไหนก็ไป” ก็ทำให้เครียดหนักมากพออยู่แล้ว ยังจะมาถามอะไรกันอีก

เพราะรู้ชะตากรรมว่าอย่างไรก็ต้องไปอยู่ รทสช. ฉะนั้นสิ่งที่วุ่นขณะนี้ก็คือการมุ่งมั่นนับตัวเลข

ครั้งก่อนถูกด่าสนั่นประเทศ ว่านับ 1-8 ไม่ครบ ครั้งนี้ก็เลยตั้งใจโชว์พัฒนาการทางตัวเลข ว่าจะนับ 1 ถึง 25 ให้ดู ไม่ว่าจะต้องใช้กล ใช้เกม ใช้ข้อได้เปรียบใดๆก็ตาม จะต้องนับให้ถึง 25 ให้ได้

เพราะถ้าไม่ถึง 25 ความฝันที่จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯต่ออีก 2 ปีก็ยังดี ก็สิ้นหวังแน่นอน

วันนี้จึงไม่อายอะไรอีกแล้ว ให้วิ่งหาเสียง ให้ไปพูดประจบคนในพื้นที่ ไปอวดอ้างว่าเป็นนายกฯของทุกคน ไปอวดอ้างว่าถ้าไม่ได้เป็นก็จะเสียใจ แต่ไม่ใช่เพราะไม่ได้เป็น แต่เพราะไม่สามารถให้ความสุขกับคนไทยทุกคนได้

เจอสังคมโซเชี่ยลสวนกลับแบบกระแทกหมัดตรง ถ้าอยากให้ความสุขกับคนไทยทุกคน ก็แค่ลาออก แล้วบอกว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว แค่นี้คนไทยก็มีความสุขแล้ว

ถามจริงๆประยุทธ์ จันทร์โอชา คิดได้แค่อยากจะอยู่ต่อให้ได้จริงๆหรือ

ไม่เคยคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ของประชาชนที่แท้จริงเลยหรืออย่างไร

ไม่เคยคิดเลยใช่หรือไม่ว่าในอนาคตประวัติศาสตร์จะจารึกการเมืองไทยในยุคที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหลิงอำนาจอย่างไร จะจารึกการดิ้นรนที่จะกลับมาให้ได้ โดยไม่สนใจว่าต้องแหกกฎใดๆบ้างก็ตาม

จะเล่นการเมืองในลักษณะนี้อย่างนั้นหรือ

แต่อย่างว่า เรื่องของจิตสำนึกความรับผิดชอบ สำหรับคนชื่อประยุทธ์ เป็นเรื่องที่ยากจะเรียกร้อง หรือทวงถามมาตลอด 8 ปีของการครองอำนาจ

ล่าสุดกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปางที่อ่าวไทย ถ้าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความเจริญทางด้านจริยธรรม ความรับผิดชอบ และจิตสำนึกของผู้นำแล้ว เรื่องนี้จะต้องมีคนลาออกแล้ว

แต่ความกระตือรือร้นที่เห็น ไม่ใช่การแสดงความรับผิดชอบ แต่กลายเป็นยังเห็นการวิ่งพล่านลงพื้นที่เพื่อหาเสียงทางการเมือง ในขณะที่ผู้คนกำลังภาวนาขอให้ค้นหาผู้สูญหายได้เจออย่างปลอดภัย

ถ้าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งผบ.ทร. และรัฐมนตรีกลาโหม จะต้องแสดงสปิริตลาออก

เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดพลาดจากเหตุธรรมชาติ แต่เป็นความผิดพลาดบกพร่องของคนระดับผู้นำ

บางกอกทูเดย์ ขอยกเหตุผล 4 ข้อชัดๆให้เห็นกันเลยว่า นี่คือความบกพร่องอย่างชัดเจน

1. เรือหลวงสุโขทัย เพิ่งผ่านการซ่อมบำรุงใหม่ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ต่อไปอีก 10 ปี เป็นการซ่อมบำรุงใหญ่ ครั้งสำคัญ ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเรืออายุ 35 ปี ในการประมูลหาผู้ที่มีคุณภาพมาซ่อมบำรุง  แต่คำถามคือกรรมการตรวจรับ ได้ตรวจรับงานอย่างไรถึงทำให้เรือที่ออกมาวิ่ง เจอน้ำเข้าทำให้เครื่องดับ ทำให้เครื่องปั่นไฟสำรองไม่ทำงาน จนนำไปสู่เหตุเรืออับปางได้ขนาดนี้ คณะกรรมการตรวจรับทั้งชุดนี้จะต้องรับผิดชอบโดยตรง จะต้องถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ว่าซ่อมบำรุงมาอย่างไรจึงบกพร่องได้ขนาดนี้

2. การออกไปปฏิบัติการครั้งนี้คือการปฏิบัติการลาดตระเวนตามปกติ ซึ่งแน่นอนว่าก่อนออกเรือจะต้องมีการรายงานสภาพอากาศอย่างชัดเจน ในเมื่อรู้อยู่ว่ากำลังมีพายุทำไมยังต้องดันทุรังฝืนออกไปเพื่อลาดตระเวนไล่จับเรือด็อกด๋อยอะไรไม่กี่ลำ

ถ้าเป็นสภาวะสงครามแล้วต้องออกเรือ ถือเป็นกรณีจำเป็นที่คงไม่ว่ากัน แต่กรณีนี้เป็นแค่รอบการทำงานปกติ ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องดันทุรังเลย

ก็เหมือนกับสนามบินนั่นแหละ ถ้าได้รับการแจ้งสภาพอากาศที่เลวร้าย กัปตันและศูนย์การบินย่อมไม่ยอมให้มีการบินขึ้นอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องถูกด่าว่าดีเลย์ ว่าทำให้คนตกไฟลท์ ก็ต้องยอมให้ด่า

ดังนั้นคำถามก็คือกับสภาพอากาศเลวร้าย มีคลื่นสูง 4-7 เมตร ทำไมจึงไม่มีการประเมินสถานการณ์ทำไมจึงไม่มีการยกเลิกปฏิบัติการลาดตระเวน

3. เหตุการณ์นี้รับรู้กันตั้งแต่ 18:00 น. ว่าเกิดเหตุเครื่องดับ น้ำเข้าเรือ เครื่องสูบน้ำไม่ทำงาน เครื่องปั่นไฟสำรองไม่ทำงาน จนเรืออับปางตอนเที่ยงคืน คำถามคือระยะเวลา 6 ชั่วโมงตรงนั้น ทำอะไรกันอยู่

การสั่งการ การบัญชาการ มัวทำอะไรการช่วยเหลือถึงได้ล่าช้า

ก็ไหนรัฐมนตรีกลาโหมที่ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุยอวดโขมงโฉงเฉงไปทั่ว ว่าทำงานตลอดเวลาเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่สั่งการให้ทันเวลา

และที่สำคัญบรรดาผู้มีอำนาจสั่งการโดยตรง ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดใช่หรือไม่ ถึงได้ไม่มีการสั่งการให้อพยพล่วงหน้า เพราะระยะเวลา 6 ชั่วโมงก่อนเรืออับปาง การอพยพคนแค่ 105 คนนั้น ไม่มีปัญญาสั่งการทำได้ให้ทุกคนปลอดภัยอย่างนั้นหรือ

ถามจริงๆทั้งผบ.ทร. ทั้งรัฐมนตรีกลาโหม คิดอะไรกันหรือ ไม่ได้มอง ไม่ได้ให้ค่าความสำคัญของชีวิตทหารชั้นผู้น้อยเลยอย่างนั้นหรือ

ค่อยๆอพยพเพียงแค่ชั่วโมงละ 20 กว่าคน ใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงก็ครบแล้วกับคน 105 คน เสร็จก่อนเรืออับปางเป็นชั่วโมง

เกิดจุดบอดอะไรในการสั่งการ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมจำเป็นต้องตอบ และจำเป็นต้องรับผิดชอบ

4. อันนี้ยิ่งเป็นเรื่องตลกร้ายกับข้ออ้างที่บอกว่าต้องรับคนเพิ่ม 30 คนเลยทำให้เสื้อชูชีพไม่พอ แต่ก็ยังดันทุรังฝืนออกเรือไปทั้งๆที่เสื้อชูชีพไม่พอ

เหตุการณ์เรือนำเที่ยว หรือแม้กระทั่งเรือข้ามฟาก เวลาที่เกิดล่มขึ้นมาพอรู้ว่าเสื้อชูชีพไม่พอ สังคมรุมด่าเจ้าของเรือ บริษัทเรือ กันสนั่นสังคมว่าเมื่อรู้อยู่ว่าเสื้อชูชีพไม่พอยังฝืนดันทุรังรับคนเพิ่มและออกเรือได้อย่างไร

แต่นี่คือเรือหลวงสุโขทัย มาบอกว่าชูชีพไม่เพียงพอ แล้วคิดว่าจะจบอย่างนั้นหรือ

บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ตามกฎทหารที่ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องความปลอดภัยให้กับกำลังพลก่อนออกปฏิบัติการ กรณีนี้คือการละเมิดกฎความปลอดภัยอย่างชัดเจน

บอกได้เลยว่าถ้าญาติของผู้เสียชีวิตไปฟ้องศาลทหารว่ามีการละเมิดกฎความปลอดภัย รับรองได้เลยว่าต้องมีคนโดนปลด ต้องมีคนติดคุก ต้องได้รับโทษอาญาจากการทำให้มีผู้เสียชีวิตแน่ๆ

และไหนๆก็ไหนๆในเมื่อพูดถึงเรื่องเสื้อชูชีพแล้ว ปัจจุบันเสื้อชูชีพที่มีคุณภาพ มีความพร้อม มีไฟส่องสว่าง มีสัญญาณ GPS มีอาหารประทังชีวิต ราคาตัวละไม่กี่พันบาท เทียบไม่ได้เลยกับการดิ้นรนที่จะซื้อเรือดำน้ำที่ต้องใช้งบประมาณหลายพันหลายหมื่นล้านบาท

เสื้อชูชีพคุณภาพเพื่อทหารชั้นผู้น้อยจัดหาให้ไม่ได้จริงๆหรือ

บางกอกทูเดย์ บอกเลยว่า ระดับเรือหลวงสุโขทัยไม่ควรที่จะอับปางในครั้งนี้ และแบบนี้

ยิ่งข้ออ้างที่โยนว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ ควบคุมไม่ได้ ยิ่งสะท้อนให้เห็นระดับมันสมอง 84,000 เซลล์ เพราะไม่มีใครบอกให้เอาชนะธรรมชาติ แต่ทุกคนอยากรู้ว่า หน่วยงานระดับนี้ไม่มีการเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับเหตุการณ์ทางธรรมชาติ สำหรับพายุที่เกิดขึ้นกันเลยหรือ

ปรากฏการณ์เรืออับปางกลางอ่าวไทยครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องที่สร้างความเศร้าเสียใจให้กับครอบครัวญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต และอยากเห็นคนระดับผู้นำประเทศแสดงความรับผิดชอบมากกว่าการลอยตัว ตีกรรเชียง เพราะมัวพะวงกับการลงพื้นที่เพื่อให้ได้ 25 เสียง

ระวังบาปกรรมครั้งนี้ จะทำให้ 25 เสียงที่หวัง กลายเป็นความหวังที่ “ล่มปากอ่าว”

จนต้องฝันค้างไม่ได้ไปต่อ อย่างที่แรงกระสันทางการเมืองผลักดัน

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *