ฤกษ์จะดี จิตใจต้องดีก่อน
ตัณหาการเมือง เป็นแรงกระตุ้น ทำให้ต้องการที่จะอยู่ต่อในอำนาจ
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะกับคนประเภทที่ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ไม่ใช่ความผิด กับการที่จิตใจตกเป็นทาสอำนาจและผลประโยชน์การเมือง
แต่ทุกสิ่งควรกระทำอยู่บนบรรทัดฐานของความถูกต้อง และมีคุณธรรม
แต่ถ้าทำทุกอย่างโดยไม่สนใจว่าจะต้องแปดเปื้อนสักเพียงใด
ไม่แคร์สังคม ว่าจะมองทะลุหน้ากากคนดีไปเห็นเนื้อแท้ข้างใน
การเร่งตั้งหัวหน้าพรรคที่ตัวเองจะเข้าไปสังกัดให้มากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ให้มาทำหน้าที่เป็นเลขาธิการนายกในช่วงจังหวะสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งไม่นานแบบนี้
เอาเปรียบหรือไม่ แปดเปื้อนหรือไม่
ทั้งคนตั้งและคนที่ถูกแต่งตั้ง รู้อยู่แก่ใจว่าชิงแต่งตั้งแบบนี้ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่
แค่ไม่รู้ว่ามีความเป็นลูกผู้ชายและกล้าเพียงพอที่จะยอมรับหรือเปล่า
แล้วทั้งคู่ก็ใช้ตำแหน่งหน้าที่ลงพื้นที่ต่างจังหวัดอุตลุตไปหมด
ข้ออ้างเรื่องการไปทำหน้าที่ กับการมุ่งหาเสียงทางการเมือง ไม่ใช่แค่เส้นคั่นบางๆ แต่เป็นเส้นคุณธรรมที่ต้องมีให้ชัดเจน
อีกนั่นแหละทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจ แค่ว่ากล้าที่จะยอมรับหรือไม่ ว่ามุ่งผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นหลักหรือไม่
ยิ่งพฤติกรรมการดูดส.ส. จากพรรคการเมืองต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่พรรคที่ตัวเองเคยอาศัยโควต้าเป็นแคนดิเดตนายก
พรรคการเมืองที่รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจ ว่าเป็นพรรคที่พี่ใหญ่ ซึ่งอ้างนักอ้างหนาว่ายังรักกันดี ไม่ได้แตกแยกกัน นั่งเป็นหัวหน้าพรรคอยู่
แต่เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ทั้งดูดทั้งดึงโดยไม่แคร์ความรู้สึกของพี่ใหญ่
นี่คือความสัมพันธ์สไตล์หน้ากากคนดีใช่หรือไม่
หรือยุคนี้เรื่องของความละอายใจ เป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับคนบางจำพวก
ความเชื่อในเรื่องฤกษ์งามยามดี จะดีได้ จิตใจและพฤติกรรมจะต้องดีก่อนเป็นอันดับแรก
ถ้าจิตใจหมกมุ่นเต็มไปด้วย โมหะ โทสะ กิเลสตัณหา ไขว่คว้าไม่สิ้นสุด
ไม่แยแสความดีความถูกต้อง ไม่เกรงกลัวความแปดเปื้อน
ฤกษ์ดีที่คาดหวังก็คงช่วยอะไรไม่ได้
เพราะสุดท้ายกลายเป็นฤกษ์ดีของประชาชน ที่ได้รู้ความจริง
อัคคี กัมปนาท