‘พิธา’ จวก ‘ประยุทธ์’ ผลาญงบฯกว่า 28 ล้านล้านบาท แต่คนไทยยังจน เศรษฐกิจถดถอยล้าหลัง
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า ถึงแม้การอภิปรายครั้งนี้จะลงมติไม่ได้ แต่ประชาชนจะลงมติในเวลาอีกไม่ถึง 80 วัน และคงจะห้ามประชาชนไม่ให้ใช้ข้อมูลในการอภิปรายครั้งนี้ประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งไม่ได้ และถึงแม้ว่าการอภิปรายครั้งนี้จะเป็นกลไกลครั้งสุดท้ายของรัฐสภาชุดนี้ แต่จะเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่ประชาชนจะได้ฟัง กลไกลของรัฐสภาเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมประชาธิปไตยในการพิจารณาก่อนเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง
“การเลือกตั้งปี 62 ไม่มีแบบนี้ ก่อนการยึดอำนาจปี 2557 ก็ไม่มีเช่นนี้ มีแต่สัญญาปากเปล่า สัญญาเลื่อนลอย สัญญาว่าจะมาปกครองบ้านเมือง สัญญาว่าจะมาปฏิรูป สัญญาว่าจะมาแแก้จน สัญญาว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่นับตั้งแต่ปี 2557 – 2566 เกือนจะหนึ่งทศวรรษ สิ่งที่ผลิดอกออกผลเป็นรูปธรรมคือทศวรรษที่สูญหาย ทั้งงบประมาณ เวลา และโอกาส”
นายพิธา กล่าวว่า ความสูญหายของงบประมาณ ในเกือบทศวรรษที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ใช้งบประมาณไปแล้ว 28 ล้านล้านบาท ซึ่งตอนนี้ทองคำหนึ่งแท่ง 28,000 บาท เอา 28 ล้านล้านบาทหารด้วย 28,000 บาท เท่ากับ ทองคำ 1 พันล้านแท่ง ในอดีตที่ผ่านมามีคำพูดว่าประเทศไทยเอาทองคำมาปูถนนทั้งประเทศก็ยังได้ เพราะถนนของประเทศไทยมีประมาณ 1.8 แสนกิโลเมตร ซึ่งขอบอกว่าคำพูดที่เคยมีในอดีตนั้นไม่เกินจริง แต่ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือสามารถใช้ทองปูถนนทั้งไปและกลับสองรอบแล้วกับงบประมาณ 28 ล้านล้านบาท แต่ภาพของเศรษฐกิจที่ประชาชนได้ในวันนี้ การเติบโตของจีดีพีหลังโควิด ที่ประมาณการโดยไอเอ็มเอฟ ไทยอยู่ที่อันดับ 7 ของอาเซียน ก่อนการรัฐประหารครั้งแรก ไทยแข่งกับอินโดนิเซีย มาเลเซีย รัฐประหารครั้งที่สอง ไทยแข่งกับเวียดนาม ฟิลิปปินส์ แต่ตอนนี้แข่งเพื่อให้นำประเทศ ลาว เมียนมา กัมพูชา ซึ่งถือว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศถอยหลังลงคลองขนาดไหน ถึงกลายเป็นรั้งท้ายอาเซียนและยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด
“นี่แค่เศรษฐกิจระดับมหาภาค ยังไม่ได้รวมเศรษฐกิจจุลภาค พี่น้องประชาชนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แก่ก่อนรวย ป่วยก่อนตาย เลือกความสงบ จบที่อดอยาก มันเป็นอย่างไร นี่คือการถอยหลังลงคลองของเศรษฐกิจไทย”
นายพิธา ยังกล่าวด้วยว่า ความสูญหายของเวลากับ 8 ปี กับสัญญาปากเปล่าที่พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าจะมาปราบโกงคือดัชนีคอรัปชั่น ซึ่งปี 57 อันดับคอรัปชั่นของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 85 ปี 2565 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 110 ตกลงไป 5 อันดับ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศเวียดนามจากเคยได้คะแนนแค่ 35 เต็ม 100 กลายมาเป็น 42 เต็ม 100 ส่วนประเทศไทยจาก 37 เต็ม 100 เหลืออยู่ 36 เต็ม 100 นี่คือเวลาในการปราบโกงที่ได้เสียไปเกือบทศวรรษ แต่ไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นและย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามเดินนำหน้าเราไป และการลงทุนก็ไปอยู่ที่เวียดนามไม่ได้อยู่ในประเทศไทย
นายพิธา กล่าวว่า การสูญหายของเวลา คือ การแก้ปัญหาภัยแล้ง เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา มีพรรคร่วมรัฐบาลบอกว่ามีลุง ไม่มีแล้ง ถ้าพรรคนั้นมาพรรคนี้มา ไม่มีปัญหาความยากจน คนจนหมดประเทศ ปัญหาที่ดิน แหล่งน้ำแก้ไขได้อย่างจริงจัง ทั้งที่จริงๆ แล้วท่านก็ดูมาตลอด 8 ปี และยังไม่ใช่แค่แล้ง มีทั้งเลื่อนและลอย คือความสูญหายทางโอกาส ในการปฏิรูปสิ่งที่กระทบกับประชาชนมากที่สุดและเป็นสิ่งที่นายกฯ สามารถทำได้ดีที่สุดคือเลื่อนการปฏิรูปตำรวจ
“ภาพลักษณ์ของตำรวจกับภาพลักษณ์ของประเทศ จริงหรือไม่ที่ตำรวจมีส่วนกับทุนจีนสีเทา จริงหรือไม่ที่ตำรวจใช้ทรัพยากรของตำรวจในการนำขบวนนักท่องเที่ยวจีน จริงหรือไม่ที่ตำรวจตั้งด่านตรวจนักท่องเที่ยวไต้หวัน แทนที่ตำรวจจะพิทักษ์ราษฎรกับกลายเป็นทำร้ายราษฎรเสียเอง ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด พนันออนไลน์ ระบบเส้นสาย ระบบส่วย และลอยตัวเหนือปัญหา”
นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนอยากจะเห็นจากรัฐบาลไม่ว่าชุดนี้หรือชุดหน้าผ่านการเลือกตั้ง คือ การที่ทำให้ประเทศไทยมีความหวังได้ ต้องทำการเมืองให้ดี ปากท้องดีในอนาคต ไม่ใช่การเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตแบบเดิม ถ้าจะทำให้ปากท้องดี ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ต้องเห็นหัวประชาชน ส่วนการเมืองดีต้องทำให้ประชาธิปไตยเต็มใบ เอาทหารออกจากการเมือง ปิดสวิตซ์ 3 ป. รวมถึงแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่ได้มาจากการยกร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นวังวนของความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจากการนำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 บังคับใช้กับประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนอายุ 14 ขวบ พร้อมกับลงโทษอย่างรุนแรง ถือเป็นทางตันของประเทศ ดังนั้นต้องตัดวงจรของทศวรรษที่สูญหาย เป็นทศวรรษที่มีความหวัง โดยปิดสวิตซ์ 3 ป.เปิดแสงแห่งความหวัง
“การอภิปรายในสภาฯ พวกผมลงมติไม่ได้ แต่ช่วง 80 วันหลังจากนี้ประชาชนสามารถลงคะแนนในคูหาได้ ดังนั้นขอให้พิจารณาข้อมูลจากการอภิปรายครั้งสุดท้ายของสภาฯ เพื่อให้คำตอบ ว่า จะให้อนาคตของประเทศหลังจากนี้รุ่งโรจน์ และเปลี่ยนแปลงประเทศ” นายพิธา กล่าว
