24 ตุลาคม 2024

ชัดๆ จากปาก ‘เศรษฐา ทวีสิน’! ปมแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

0

กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่า หลังจากที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดนโยบายจะมอบ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” (Digital Wallet) ให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพื่อนำไปใช้จับจ่ายสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิต โดยสามารถใช้จ่ายได้ที่ร้านค้าชุมชนในรัศมีจากบ้าน 4 กิโลเมตร และจะมีอายุการใช้งานนาน 6 เดือน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น

พรรคการเมืองต่างๆพากันออกมาตั้งคำถามกันใหญ่ ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ จะใช้เงินงบประมาณมหาศาลเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลรักษาการในขณะนี้ ที่ออกอาการเต็มที่ เพราะลึกๆรู้ดีว่าได้ก่อหนี้ ได้ใช้งบประมาณไปมากมายเพียงใด

ตรงนี้สะท้อนชัดถึงความแตกต่างทั้งในแง่ของความรู้ ประสบการณ์ และที่สำคัญมีความเข้าใจกลไกของเงินดิจิทัลมากน้อยเพียงใด

นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. ได้นำคณะแถลงกรณีมีการตั้งข้อสงสัยแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท

เป็นข้อมูลที่ไม่เพียงแต่ประชาชนควรจะต้องฟัง ควรจะต้องรู้ ว่าเป็นนโยบายขายฝันอย่างที่มีพรรคการเมืองบางพรรคกล่าวโจมตีหรือไม่ หรือว่าจริงๆแล้วทั้งพรรคทั้งคนที่กล่าวหา ที่อาสาจะขอรับใช้ประชาชนนั้น ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย

ฉะนั้นสิ่งที่ นายเศรษฐา ชี้แจง จึงสำคัญ เพราะถ้าทำให้คนเข้าใจได้ โอกาสของพรรคเพื่อไทยก็จะยิ่งมีมากขึ้น แต่ถ้าทำให้คนเข้าใจไม่ได้ ก็มีหวังโดนโจมตีจากพรรคการเมืองที่หวาดกลัวการประกาศแลนด์สไลด์

คำต่อคำจากนี้ไป จึงไม่อ่าน ไม่คิด ไม่วิเคราะห์ ไม่แยกแยะไม่ได้เลยจริงๆ

“มีคนตั้งข้อสังเกตว่าจะเอาเงินมาจากไหน ช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมาประเทศเราบอบซ้ำมาเยอะ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ พี่น้องประชาชนมีรายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม กระทั่งอยู่ในภาวะที่เรียกว่าซึมลึก ซึมนาน ซึมยาว รัฐบาลปัจจุบันก็ค่อยๆ หยอดน้ำข้าวต้มมาเรื่อยๆ เป็นจำนวนเงินเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจที่เหมาะสม

พรรค พท.เราคิดใหญ่ทำเป็น จำนวนเงิน 10,000 บาทนั้น เราจะให้เป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาทเลย ที่ต้องให้เป็นกระเป๋าตังค์ดิจิทัลไม่ให้เป็นเงินสด เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่เราสามารถจำกัดวิธีการใช้ได้ หากให้เป็นเงินสดก็อาจจะใช้ไปในทางอื่นที่ไม่เหมาะสม เช่น เรื่องของการพนัน ยาเสพติด การใช้หนี้นอกระบบ ซึ่งเทคโนโลยีจะสามารถบอกได้ว่าไปใช้อะไรบ้าง”

ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าหากเป็นหนี้สถาบันการเงิน จะสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราต้องลงพื้นที่เพื่อสอบถามความต้องการ หากเป็นความต้องการเราก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง

“ส่วนระยะเวลาที่เราให้ใช้ภายใน 6 เดือนนั้น เพราะเราต้องการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องให้ความสำคัญ อีกเรื่องคือระยะรัศมีในการใช้ตามบัตรประชาชน 4 กิโลเมตรนั้น หากพื้นที่ไหนที่ไม่มีร้านค้า ก็สามารถขยายระยะทางออกไปได้”

“สำหรับคนที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แต่บัตรประชาชนอยู่ต่างจังหวัด จะสามารถใช้ได้หรือไม่นั้น เราตอบชัดเจนว่าไม่ได้ เพราะเราอยากให้กลับไปใช้เงินที่บ้าน เพื่อที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ไม่ใช่มากระจุกตัวที่หัวเมืองอย่างเดียว หากภายใน 6 เดือนนั้นไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลย เงินก็จะหายไป ฉะนั้นคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ให้พี่น้องได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ภูมิลำเนาและไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนด้วย”

กรณีมีนักวิชาการมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว พร้อมตั้งคำถามว่าเงินมาจากไหน และจะกระทบหนี้สาธารณะของประเทศ ?

“นโยบายนี้จะทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น นี่จะตอบคำถามได้ว่าเงินมาจากไหน ยืนยันว่าเม็ดเงินมาจากการจัดสรรงบประมาณ การจัดเก็บภาษี VAT ที่ได้เพิ่มมากขึ้น และการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล รวมทั้งสวัสดิการรัฐที่ลดน้อยลง ตนไม่อยากให้ใช้คำว่าประชานิยมสุดโต่ง แต่เป็นความจำเป็นและความต้องการของพี่น้องประชาชนที่ต้องการการช่วยเหลือเวลานี้”

เพราะงบประมาณปี 67 ตั้งไว้ 3.35 ล้านล้านบาท ถ้า พท.เป็นรัฐบาลและนำเสนอนโยบายนี้ จำเป็นต้องปรับลดงบประมาณกระทรวงอื่นๆ อย่างเช่นกระทรวงกลาโหม หรืองบประมาณลงทุนหรือไม่ ?

“การจัดเก็บภาษีจะได้เพิ่มมากขึ้นกว่า 2 แสนล้าน ส่วนงบประมาณอื่นๆ นั้น จะต้องดูงบประมาณในส่วนอื่นๆ ไม่ใช่งบประมาณกระทรวงกลาโหมเท่านั้น ว่าอะไรเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน”

จำนวนเงินที่ได้สามารถนำไปใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันได้หรือไม่ ?

“ได้ทั้งหมด ยกเว้นซื้อบุหรี่หรือใช้หนี้นอกระบบ”

ร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไปร่วมโครงการได้หรือไม่ ?

“สามารถเข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมด ไม่กีดกั้นใครคนใดคนหนึ่ง เราเสมอภาคเท่าเทียม”

กรณีให้คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปสามารถใช้ได้ แล้วแบบนี้จะต้องใช้งบประมาณเท่าไร ?

“จะมีประชาชนกว่า 50 ล้านคนที่ได้รับสิทธิ์ ซึ่งจะใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท คาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 และจะเริ่มโครงการได้ประมาณวันที่ 1 ม.ค. 67”

พรรคเพื่อไทย คาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างไร ?

คำตอบคือ “ภายใน 4 ปี การเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี”

กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายนี้มองประชาชนเป็นยาจก ?

ชัดๆจากปากนายเศรษฐา ก็คือ

“ผมไม่เคยมองประชาชนเป็นยาจก เป้าหมายของของพรรคเพื่อไทย คือช่วยประชาชนพ้นหลุมดำของความยากจน ถ้าเกิดว่าดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เป็นจุดสตาร์ทให้ประชาชนลุกขึ้นเดิน ลุกขึ้นทำมาหากินได้อีกครั้งหนึ่ง ผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชน”

นี่คือสิ่งที่ บางกอกทูเดย์ออนไลน์ ขอบันทึกไว้ให้อ่านกันชัดๆ ว่าสุดท้ายแล้ว นโยบายนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เกิดขึ้นแล้วจะประสบความสำเร็จอย่างที่พูดหรือไม่

ส่วนประเด็นที่พรรคการเมืองคู่แข่งพูดโจมตี หรือตั้งคำถาม บอกได้แค่ว่าเป็นธรรมดาของการหาเสียง ยิ่งกลัวยิ่งหวาดวิตก็ยิ่งต้องโจมตี

ที่สำคัญ ชัดเจนว่า “สำหรับใครบางคน” ยิ่งไม่รู้ ไม่เข้าใจ ยิ่งพล่านหนักอย่างที่เห็นนั่นแหละ

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *