23 ตุลาคม 2024

สุขภาพและความงาม ศาสตร์แห่งอนาคต พร้อมนำไทยเป็นฮับเวลเนสโลก

0

ว่าด้วยเรื่องสุขภาพและความงาม ประเทศไทยเป็นผู้นำตลาดและเป็นผู้เล่นรายสำคัญของอาเซียน โดย Grand View Research ประเมินมูลค่าตลาดเสริมความงามทั่วโลก คาดว่า ในปี 2570 มูลค่าตลาดจะขึ้นไปแตะระดับ 2.16 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.14 ล้านล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 13.9%  หรือคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 2.5 เท่า ขณะที่ตลาดเสริมความงามในไทยจะแตะระดับ 7.51 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.48 แสนล้านบาท โตเฉลี่ยปีละ 16.6% หรือ คาดว่าจะเพิ่มจากปี 2563 เกือบ 3 เท่า หลายฝ่ายเชื่อกันว่า เรื่องสุขภาพและความงามเป็นจุดขายสำคัญของเวลเนสไทยที่ประสานลงตัวทั้งฝีมือแพทย์ คุณภาพสถานบริการ และ ยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)  อีกทั้งประเทศไทยยังมีความพร้อมในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งคือการจับกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในสภาพร่างกายดี ไม่ได้เจ็บป่วย แต่ต้องการได้รับสภาวะทางสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ตามที่สมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย (TMWTA) ได้ให้นิยามเอาไว้ ทั้งหมดนี้จึงผลักดันให้ “ศาสตร์ด้านความงามและสุขภาพ” เป็นหนึ่งในศาสตร์ที่มีความต้องการบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อเติมเต็มเข้าสู่ธุรกิจ   

คำถามที่น่าสนใจก็คือ “เราจะทำอย่างไรให้เรามีบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านนี้?” และ “ที่ไหนที่มีการเรียนการสอนในด้านนี้บ้าง?”  

14 ปี ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) คือ “คำตอบ”

“เพราะสถาบันเราเป็นที่แรกที่เปิดสอนเรื่อง บูรณาการสุขภาพและความงาม โดยช่วงก่อนปี 2551 ประเทศไทยไม่มีสถาบันการศึกษาไหนเปิดหลักสูตรในศาสตร์แขนงนี้ตรง ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่เกี่ยวข้องตามมา หากตัวสถานประกอบการ สปา คลินิก โรงพยาบาล จะเทรนบุคลากรขึ้นมาเองก็ไม่ทัน เนื่องจากขาดเวลาในการสอนอย่างเป็นระบบ ขาดหลักสูตร และ องค์ความรู้ ที่ยังไม่ครอบคลุมและเพียงพอ” อาจารย์สุจารีย์ หิรัญศิริวัฒน์ หัวหน้าหลักสูตรบูรณาการสุขภาพและความงาม วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ (CIM) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เริ่มต้นกล่าวย้อนเวลาไป 10 กว่าปีก่อน ในยุคที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจบริการด้านสุขภาพความงาม  

เมื่อถามว่าที่หลักสูตรบูรณาการสุขภาพและความงามนั้นเรียนเรื่องอะไรบ้าง อาจารย์สุจารีย์ ได้ย้ำถึงคำว่า “บูรณาการ” ที่เป็นชื่อหลักสูตร โดยอาจารย์มองว่าการมองทุกอย่างเป็นองค์รวมจะทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงในศาสตร์ต่างๆ และ เห็นทั้งโอกาส จุดขาย ทางธุรกิจขึ้นมาอีกด้วย สอดคล้องต่อสถาบันของเรา คือ  มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่ปลูกฝังรากฐานความคิดเรื่องธุรกิจเอาไว้ด้วย

อาจารย์สุจารีย์ ยกตัวอย่างการบูรณาการและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่หลากหลายในด้านสุขภาพและความงาม “ปัจจัยสนับสนุนให้เกิดความงามและสุขภาพอย่างแท้จริง ต้องมาจาก ผู้รู้จริง และ ทุกอย่างต้องพร้อมจริงๆ ยกตัวอย่างหากเราจะริเริ่มทำสถานประกอบการด้านสุขภาพและความงาม เราควรคำนึงถึงองค์ประกอบด้าน รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ทั้ง 5 มิติ ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดต่างของธุรกิจได้เลย  1.รูป สถานที่เราจะตกแต่งอย่างไร?  จะทาสีอะไร? แต่งสถานที่สไตล์ไหน? มีไฟวอร์มไวท์ดีไหม? ทำอย่างไรจะทำให้เกิดความสบายใจอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน 2.รส ก่อนรับบริการจะเสิร์ฟเครื่องดื่มต้อนรับด้วยน้ำสมุนไพรตามฤดูกาลเพื่อปรับสมดุลของร่างกายดีไหม?  อาจารย์แนะนำอย่างช่วงหน้าร้อนนี้ ก็เลือกน้ำเก๊กฮวย น้ำใบบัวบก ที่ออกฤทธิ์ดับกระหายคลายร้อน ส่วนฤดูฝนเป็นไข้ได้ง่าย ก็เสิร์ฟด้วย น้ำตะไคร้ เพื่อฆ่าเชื้อโรค หน้าหนาวก็บริการด้วย น้ำขิง น้ำมะตูมร้อน ก่อนจะปิดท้ายหลังบริการด้วยน้ำอุ่นกรณีการนวดบริการช่วยปรับอุณภูมิที่ร่างกายสูงขึ้นขณะนวดและขับถ่ายของเสีย แบบนี้เป็นต้น”

อาจารย์สุจารีย์ เล่าถึงมิติต่อไป “3.กลิ่น เราอาจจะใช้สเปเชียลออยผสมน้ำมันหอมระเหยเช่นเอากลิ่นลาเวนเดอร์ผสมกับเปเปอร์มินต์หรือยูคาลิปตัส เติมความรีแลค ผ่อนคลาย 4.เสียง เราอาจจะเลือกใช้ดนตรีบำบัดเป็นซาวน์เสียงน้ำไหล น้ำตก  5.สัมผัส มือของเทอราปีของเราต้องดูแลอย่างไร และเราต้องสอนการลงน้ำหนักมือ ว่าต้องเหมาะสม ไหลลื่น สมดุล ค่อยๆ ให้บริการ เพราะเป็นหัวใจหลักสำคัญในการให้บริการเรื่องสุขภาพและความงาม ทั้งหมดเป็นองค์รวม เป็นเรื่องบูรณาการ คือเราไม่เพียงเราเป็นที่แรกที่เปิดสอนหลักสูตรแขนงนี้ แต่เรายังเป็นที่แรกในประเทศไทยที่สอนความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เวลเนส ศาสตร์ของการมีสุขภาพที่ดีและความงามที่ยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพ สร้างธุรกิจได้จริง ที่ครบวงจรและองค์ความรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ”

หลักสูตรผสมผสานธุรกิจกับการลงมือทำจริง
“ไม่เพียงแต่สาขาบูรณาการสุขภาพและความงาม จะเน้นแต่เรื่องสวยๆงามๆ แต่สาขานี้ยังสอนพื้นฐานธุรกิจอีกด้วย  โดยเราเริ่มสอนตั้งแต่ความเข้าใจปรับพื้นฐาน เรียนรู้เทรนด์และตลาดธุรกิจสุขภาพและความงาม  การลงมือสร้างผลิตภัณฑ์ตัวอย่างของตนเองใน Lab ที่ครบครันทันสมัย เรียนเรื่องทักษะความเป็นผู้ประกอบการการที่จะต่อยอดธุรกิจ หรือ สามารถตั้ง start-up ของตัวเอง และสุดท้ายกับการศึกษาดูงานและเข้าฝึกงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศมากมาย” อาจารย์สุจารีย์กล่าวถึงหลักสูตร

ส่วนถ้าจะให้ขยายความถึงรายละเอียดหลักสูตร อาจารย์สุจารีย์กล่าวว่า “ปี 1 จะเป็นการปูพื้นฐานวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม เรียนอนาโตมี ชีววิทยา เคมีเบื้องต้น เพราะเป็นวิชาที่ต้องต่อยอดผลิตเครื่องสำอาง สกินแคร์ นวัตกรรมการดูแลผิว การนวดสุขภาพและผ่อนคลาย พอปีที่ 2 จะเข้าสู่วิชาชีพสุขภาพและความงาม เรียน 6 หมวด แบ่งเป็น ศาสตร์สุขภาพ อาหารโภชนาการ การออกกำลังกายและแอนไทเอจจิ้ง รู้จักศาสตร์ที่สอนเรื่องของการป้องกัน มากกว่าที่จะรอให้เกิดปัญหาสุขภาพ  ศาสตร์ความงาม เครื่องสำอาง สปา แนวไทย แล้วก็เรื่องของการเปิดคลินิกหรือสถาบันการดูแลผิวพรรณ  พอเรียนถึงปีที่ 3 จะเริ่มมีวิชาชีพระดับหนึ่ง ก็จะเข้าสู่หลักสูตรด้านการบริหารธุรกิจและทักษะความเป็นผู้ประกอบการ รู้จักการบริหารงานโรงพยาบาล  ซึ่งเราเป็นหลักสูตรแห่งแรกในประเทศไทยที่เรียนเรื่องนี้  เราจะได้เรียนเรื่องของการออกแบบสุขภาพและความงาม การออกแบบแบรนด์สินค้าของตัวเองร่วมกับนักศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มาร่วมกันทำสินค้าและบรรจุภัณฑ์   พอถึงปี 4 ก็จะได้ฝึกงานกับพันธมิตรชั้นนำที่เรามีเครือข่าย MOUs ร่วมกัน อาทิ โรงพยาบาลผิวหนังอโศก, Slim Up Center, The skin doctor, Dr.Orn – Medical Hair Clinic, บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”

อาจารย์สุจารีย์ บอกต่ออีกว่า “จุดเด่นของวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการคือการเรียนของเสริมในเรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพ ซึ่งบุคลิกภาพที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จให้ใกล้ขึ้น และ เราจะเน้นทัศนคติในงานบริการ และ การสื่อสาร  ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการทำงาน นักศึกษาเมื่อจบไปแล้วทำงานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสปา ธุรกิจคลินิกความงาม เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง  เราเชิญวิทยากรมาจากบริษัทชั้นนำเป็นผู้มาสอนในเรื่องนี้ นอกจากนี้เมื่อเรียนจบยังได้ใบประกาศนียบัตรหลักสูตรการบริการเพื่อความงามจากกระทรวงสาธารณสุข  ได้ใบประกาศนียบัตรมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขานักส่งเสริมสุขภาพ และสิทธิ์ยื่นสอบ Spa Manager ใบรับรองผู้ดำเนินการสปา

เพราะเปิดทุกโอกาสให้กับผู้ที่สนใจ

“นักศึกษาที่สนใจเรื่องของความงามและสุขภาพสามารถเรียนได้หมด ไม่จำกัดแผนการเรียนว่าจะจบสายวิทยาศาสตร์ สายศิลป์ภาษา  วุฒิ ม.6 ปวช. ปวส. หรือ กศน. ก็สามารถเรียนได้ ขอให้มีใจรักในสุขภาพและความงาม  สำหรับ “ผู้ที่สนใจ” ที่เรียนจบปริญญาตรีไปแล้วหรือทำงานอยู่ในสายงานด้านนี้ไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก็สามารถเข้าเรียนได้เช่นเดียวกัน โดยเรียนทุกวันพุธของทุกสัปดาห์ ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี”  อาจารย์สุจารีย์ ระบุ

“เราต้องการที่จะช่วยพัฒนาและผลักดันองค์ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพและความงาม เราเชื่อว่ามีประโยชน์และทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม  วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการเชื่อว่า การมีสุขภาพองค์รวมที่ดีทั้งภายในและภายนอกจะสามารถสร้างสังคมประเทศชาติให้พัฒนารุดหน้า และขับเคลื่อนประเทศไทยพวกเราอย่างยั่งยืนมั่นคง เราจึงพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยตลอดเวลา จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับความรู้ที่สด ใหม่ ทันสมัย และใช้งานได้จริงอยู่เสมอกระทั่งวันนี้” อาจารย์สุจารีย์ กล่าวทิ้งท้าย

DPU

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *