23 ตุลาคม 2024

หลังจากที่ คนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ยังต้องการสืบทอดอำนาจไม่สิ้นสุด

ทำทุกวิถีทาง โดยไม่สนใจว่าต้องใช้คนประเภทใด? หรือว่าด้วยวิธีการอย่างไร?

มีท่าทีหลงตัวเอง โดยไม่แคร์ว่าทุกคำพูดจะทำให้ถูกมองว่ายึดประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก และเหมือนกับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติ

จึงทำให้ภาพในอดีต ถูกสังคมโซเชี่ยลหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นว่า จริงๆแล้ว ตลอดมา คนชื่อประยุทธ์ ทำเพื่อประโยชน์ของใคร รักชาติจริงหรือไม่?

โดยเฉพาะ 3 เรื่องที่สร้างความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของไทย กับ จีน

และสุ่มเสี่ยงกับภาพลักษณ์ของประเทศ ในแง่ของการเลือกข้าง?

เป็นการเลือกข้างในขณะที่ โลกกำลังร้อนระอุด้วยความขัดแย้ง และปกคลุมด้วยการวิตกกังวล

ประเด็นแรก สหรัฐอเมริกา มีการเผยแพร่รายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐอเมริกา (INDO-PACIFIC STRATEGY OF THE UNITED STATES) จัดทำโดยกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา โดยระบุถึงประเทศไทยว่า จะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ

ทำให้คนไทยกังวลว่าการไปลงนามใน ‘แถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยพันธมิตรด้านป้องกันประเทศระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทย ค.ศ. 2020’ จะทำให้ไทยตกเป็นด่านหน้าในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐ ไปโดยปริยายหรือไม่

เพราะแถลงการณ์ดังกล่าวทำให้ทั่วโลกมองว่า เป็นท่าทีไทยที่เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนหรือไม่

เนื่องจากแถลงการณ์มีข้อความเปิดให้ประเทศอื่นให้เข้าร่วมสังฆกรรมได้ด้วย ระบุว่า ‘จึงร่วมงานอย่างจริงจังกับพันธมิตรและหุ้นส่วนอื่นๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน’

‘US .. and Thailand .. participate actively with other allies and like-minded partners to address complex security challanges across the Indo-Pacific region.’

คนชื่อประยุทธ์ ทำเพราะเลือกข้าง หรือเพราะเกรงใจสหรัฐมากเป็นพิเศษ เป็นสิ่งที่น่าคิด และน่ากังวล

ประเด็นที่ 2 เมื่อ เดือน มิ.ย. 65 ทั้งภาพและคลิปวิดีโอของ ประยุทธ์ ขณะที่กำลังยืนรอต้อนรับ ลอยด์ เจ. ออสติน ที่สาม (Lloyd J. Austin III) รมว.กลาโหมสหรัฐ ที่มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ได้ถูกแชร์ และถูกวิจารณ์อย่างหนัก ว่า ทำไมไม่รอในห้องรับรอง มายืนแบบนี้ทำไม

กองพิธีการกระทรวงต่างประเทศไม่มีคนทำงานเป็นเลยหรือ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยไม่รู้เรื่องความเหมาะสมเลยหรือ?

หรือว่าเป็นการยอมรับการด้อยกว่า หรือว่าเป็นการเลือกข้าง? ซึ่งไม่ว่ามุมไหน ล้วนแต่เป็นผลในแง่ลบทั้งนั้น

และประเด็นที่ 3 ล่าสุด ที่ถูกมองว่าเสี่ยงมากขึ้นหรือไม่ คือการต้อนรับ กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี Nimitz (CSG 11) แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ให้มาจอดในอ่าวไทย เพื่อยืนยันความร่วมมือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ-ไทย

นอกจากเรือบรรทุกเครื่องบิน USS NIMITZ ยังมีกองเรือจู่โจม อย่าง เรือลาดตระเวนติดจรวดนำวิถี USS Bunker Hill, เรือพิฆาต ติดจรวดนำวิถี USS Decatur และ USS Wayne E. Meyer

วงการทูตระดับโลก มองว่า เป็นการสร้างความเสี่ยงมากเกินไปหรือไม่ ที่ให้พื้นที่สหรัฐในการโชว์ศักยภาพในการรบทางทะเล เพราะเรือ USS NIMITZ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถบรรทุกเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ได้ถึง 90 ลำ และมีเจ้าหน้าที่ประจำการราว 6,000 คน

ทำแต่เรื่องสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศมาตลอด ยังกล้าบอกว่า อยากจะอยู่ต่อ อยากจะทำต่อ

บรรดาคนการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ สยองไปตามๆกัน

อัคคี กัมปนาท

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *