Belt and Road Initiative (BRI) สู่ตะวันออกกลาง
ทันทีที่ปรากฏข่าวการจัดประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลาง ณ เมืองซีอาน มณฑลส่านซี ประเทศจีน ในระหว่างวันที่ 18-19 พฤษภาคม 2023 โดยที่ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน จะเป็นประธานการประชุม และมีประธานาธิบดีของคาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน มาร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียง ได้ทำให้การจัดประชุมสุดยอดในครั้งนี้ ถูกจับตามองจากทั่วโลกในทันที
เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองว่าการประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลาง ครั้งนี้ จะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศเอเชียกลางให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ในความเป็นจริง นับตั้งแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ 30 ปีก่อน จีนและ 5 ประเทศในเอเชียกลาง ได้พัฒนาความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ในหลายด้านมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าการลงทุน การขนส่ง การสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และด้านวัฒนธรรม
ซึ่งบทบาทในการร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน สะท้อนชัดเจนจากมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับ 5 ประเทศเอเชียกลาง ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เท่า โดยยอดการค้าเมื่อปี 2022 มีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 70,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมปี 2023 ยอดการค้าระหว่างจีนกับ 5 ประเทศเอเชียกลางเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปี 2022 นับถึงสิ้นเดือนมีนาคมปีนี้ ยอดการลงทุนโดยตรงของจีนใน 5 ประเทศเอเชียกลางมีมูลค่าเกิน 15,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่ง China Railway Express (CR Express) ที่เชื่อมไปสู่เอเชียกลางเติบโตอย่างรวดเร็ว ศูนย์รวมการขนส่งของ CR Express ในเมืองซีอานมีรถไฟสายหลักถึง 17 สายไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียกลาง ซึ่งกลายเป็นช่องทางสำคัญในการขนส่งระหว่างจีนและเอเชียกลาง
และอีกประเด็นสำคัญ คือ หลายฝ่ายทั่วโลกให้ความสำคัญกับความร่วมมือกันเพื่อปกป้องแนวทางความร่วมมือแบบพหุภาคี ตลอดจนการสร้างความร่วมมือกันในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค และทั่วโลก
เพราะต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์โลกในปัจจจุบัน ยังคงเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและความวุ่นวายที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด หรือการเผชิญหน้าในหลายภูมิภาค การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศเอเชียกลาง จึงต้องถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและสันติภาพของทั้งจีนประเทศเอเชียกลาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทุกภูมิภาคทั่วโลก
โดยในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลาง ว่า จีนและประเทศในเอเชียกลาง เห็นพ้องในการจับมือกันสร้างความร่วมมือกัน เพื่อนำไปสู่ยุคใหม่ของความสัมพันธ์ ซึ่งจะส่งเสริมให้เอเชียกลางมีความมั่นคง มั่งคั่ง มีความสามัคคี และมีความเชื่อมโยงที่ดี
“โลกต้องการเอเชียกลางที่มั่นคง โดยอธิปไตย ความมั่นคง เอกราช และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศในเอเชียกลางต้องได้รับการปกป้อง” สี จิ้นผิง ระบุ
การประชุมสุดยอดครั้งนี้จึงถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะนำไปสู่ความไว้วางใจซึ่งกันและกันทางการเมืองระหว่างจีนกับประเทศเอเชียกลางที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วย่อมจะผลักดันการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งมนุษยชาติ เนื่องจากเอเชียกลางเป็นศูนย์กลางของทวีปยูเรเชีย ที่เชื่อมโยงตะวันออกกับตะวันตกและเหนือกับใต้
ที่สำคัญการประชุมสุดยอดในครั้งนี้ ยังเป็นการประสานรับกับแนวนโยบายข้อริเริ่มแถบและเส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ที่สู่ตะวันออกกลางด้วย
โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จีนได้มีบทบาทที่โดดเด่นในตะวันออกกลางอย่างชัดเจน เริ่มจากการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ไปเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 7 – 9 ธันวาคม 2022 และได้มีการประชุมสุดยอดจีน-ประเทศอาหรับครั้งแรก ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมโลกคิงอับดุลอาซิซในกรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย โดยได้มีการประกาศ “ปฏิญญาริยาดของการประชุมจีน-ประเทศอาหรับครั้งแรก” และการประกาศว่า จีนกับประเทศอาหรับเห็นพ้องที่จะสร้างประชาคมร่วมอนาคตกันอย่างสุดความสามารถ
ในที่ประชุม สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ “เผยแพร่น้ำใจไมตรีระหว่างจีนกับประเทศอาหรับ จับมือกันสร้างประชาคมแห่งการร่วมโชคชะตาในยุคสมัยใหม่” โดยเน้นว่า จีนและประเทศอาหรับ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ควรสืบทอดและเผยแพร่น้ำใจไมตรีระหว่างกัน และส่งเสริมความร่วมมือและความสามัคคีซึ่งกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายควรยืนหยัดในความเป็นเอกราชอิสระและปกป้องผลประโยชน์ร่วม และสองฝ่ายควรร่วมกันรักษาสันติภาพส่วนภูมิภาคและบรรลุซึ่งความมั่นคงร่วมกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ในเดือนมีนาคม 2023 จีนได้ก้าวสู่การเป็น “ทูตแห่งสันติภาพ” ให้กับตะวันออกกลาง ด้วยการทำให้ ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ซึ่งตัดความสัมพันธ์กันไปเมื่อ 7 ปีก่อน หันกลับมาฟื้นคืนดีกันได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีการออกแถลงการณ์ร่วมสามฝ่าย ซึ่งทั่วโลกถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของจีนในฐานะ “ผู้ไกล่เกลี่ยสันติภาพตะวันออกกลาง”
ถือได้ว่า จีนกำลังมีบทบาทที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระเบียบโลกอย่างมีนัยสำคัญ ในการที่ทำให้ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ตกลงที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตและเปิดสถานทูตระหว่างกันอีกครั้ง ภายใต้ข้อตกลง “การเคารพอำนาจอธิปไตยของรัฐและการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน”
ภาพและวิดีโอของ อาลี ชัมคานี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน ขณะจับมือกับ มูซาด บิน โมฮัมเหม็ด อัล-ไอบัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย โดยมี หวัง อี้ นักการทูตอาวุโสที่สุดของจีน ยืนอยู่ระหว่างกลาง จึงถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ ในการที่จีนเล่นบทกาวใจหนุน ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ฟื้นสัมพันธ์ครั้งใหญ่ในตะวันออกกลางได้สำเร็จ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างจีนกับรัฐอาหรับทั้งปวง ได้เริ่มต้นสร้างบรรทัดฐานความสัมพันธ์ทุกด้าน ในอันที่จะก่อให้เกิดความร่วมมือจีนกับกลุ่มประเทศอาหรับและตะวันออกกลาง ได้สำเร็จแล้ว
ถือเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมของแนวคิด “การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ” ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผ่านกระบวนการทางการทูต และผ่านเส้นทางสายไหมยุคใหม่
ภูวนารถ ณ สงขลา
นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน
บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวบางกอกทูเดย์ออนไลน์ และ สำนักข่าว Bangkok Wealth & Biz