24 ตุลาคม 2024

ส.ว. หรือ วุฒิสภา ความหมายที่แท้จริงควรต้องแปลว่าเป็น ‘สภาของผู้ที่มีวุฒิภาวะ’

แต่พฤติกรรมที่แสดงออกของส.ว.บางคนบางกลุ่ม ถามจริงๆว่า สะท้อนความมีวุฒิภาวะหรือไม่?

การออกมาปฏิเสธเสียงของประชาชน เป็นการมีวุฒิภาวะแล้วหรือไม่? สิ่งนี้เชื่อว่าบรรดา ส.ว. ทุกคนสามารถตอบเองในใจได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้คำตอบแล้ว ย่อมรู้ดีว่าปลาในข้องเดียวกันจะถูกมองด้วยภาพลักษณ์เยี่ยงไร

หากยังมีส.ว.บางคนพยายามสร้างผลงานให้คนแต่งตั้งได้เห็น ด้วยการออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นรายวัน

ซ้ำซากอยู่กับข้ออ้างที่ว่าจะไม่โหวตให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เพราะพรรคก้าวไกลมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 อ้างว่าเป็นการล้มล้างสถาบัน

ทั้งๆที่ควรจะรู้อยู่แก่ใจว่านั่นคือข้อกล่าวหาทางการเมืองที่ยังไร้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน

เพราะถ้าหลักฐานชัด สังคมที่มีนักร้องประเภทที่ร้องได้สารพัดเรื่อง ไม่สนว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร? หรือมองว่าร้องแบบมุ่งอาฆาตมาดร้ายหรือไม่? ก็คงร้องเรื่องนี้ไปนานแล้ว ไม่ปล่อยไว้แน่

การโหนสถาบันเพื่อทำลายล้างกันทางการเมืองไม่ใช่เพิ่งปรากฏในยุคนี้ แต่ปรากฏมานานแล้ว

การตะโกนในโรงหนังเมื่อครั้งอดีต ก็คือการโหนสถาบันเพื่อทำลายล้างทางการเมือง

ผลก็คือ ‘ปรีดี พนมยงค์’ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

ซึ่งสุดท้ายไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใดๆเลยว่า ข้อกล่าวหานั้นเป็นจริง แต่กลับชัดเจนว่าเป็นการมุ่งทำลายล้างทางการเมืองเสียมากกว่า

พรรคการเมืองเก่าแก่ รวมทั้ง พรรคการเมืองในอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด ล้วนต่างรู้ความจริงในข้อนี้ แต่ไม่เคยคิดทำอะไรเลย

เหมือนจะเคยชินกับการปล่อยให้มีคนใช้เกมโหนสถาบันเพื่อทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างนั้นใช่หรือไม่?

เช่นเดียวกับ ‘ผังล้มเจ้า’ ที่ใช้กล่าวหาทำลายล้างทางการเมือง สุดท้ายก็เป็นแค่ผังกำมะลอ

ผังที่กลุ่มคนซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร กลุ่มคนที่กระหายอำนาจ ทำขึ้นมาเองเพื่อใช้ในการกล่าวหา

การกล่าวหาพรรคก้าวไกลจะเป็นเช่นเดียวกับที่ผ่านมาหรือไม่ เป็นสิ่งที่บรรดาส.ว. รวมทั้งบรรดาส.ส.พรรคการเมืองขั้วอำนาจเก่า ควรจะต้องพิสูจน์

ที่แน่ๆในวันนี้ยังคงเป็นเพียงแค่ข้อกล่าวหา ยังคงเป็นเพียงแค่วิธีน้ำเน่าในการโจมตี แต่ล้วนไร้ซึ่งหลักฐาน

คำถามก็คือแล้วทำไมบรรดาส.ว.ทั้งหมด กับบรรดาส.ส.ที่อยู่ในพรรคการเมืองที่กล่าวหาเขาปาวๆ จึงไม่พิสูจน์ด้วยการหาหลักฐานที่ชัดเจนมากไปกว่าการออกมาพูดปากเปล่า แถมแฝงไว้ด้วยอคติ เพราะไม่ฟังคำตอบคำชี้แจงของพรรคก้าวไกลเลย

หลักฐานนั้นหาได้ไม่ยากเลย เพียงแค่โหวตให้ พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พรรคก้าวไกล ได้ยื่นร่างขอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายมาตรา 112 เข้ามาให้สภาพิจารณา ตรงนั้นแหละจะได้หลักฐานที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่าพรรคก้าวไกลต้องการแก้ไขปรับปรุงอย่างไร

จะเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ไม่ใช่ข้อกล่าวหาลอยๆอย่างเช่นในขณะนี้

ในวันนั้นเอาร่างกฎหมายมาวิเคราะห์ทีละคำ ทีละประโยค กันให้จะๆไปเลย ถ้าเป็นการแก้ไขเพื่อล้มล้างสถาบันจริงๆ พรรคก้าวไกลก็จะไม่รอดแน่ เพราะหลักฐานชัดเจน

แต่หากเป็นดังเช่นที่พรรคก้าวไกลให้เหตุผลว่าเป็นการปรับปรุงเพื่อพิทักษ์รักษาให้สถาบันยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยได้อย่างมั่นคง ตรงนี้ก็ควรจะพอกันทีใช่หรือไม่กับการกล่าวหาโจมตีกันทางการเมืองด้วยการใช้วิธีโหนสถาบันเป็นเครื่องมือ

แล้วเลิกอ้างเสียทีว่าถ้าโหวตพิธาเป็นนายกฯ แล้วให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ จะสามารถแก้ไขกฎหมายต่างๆได้อย่างง่ายดาย

นั่นถือเป็นตรรกะที่ไร้วุฒิภาวะโดยสิ้นเชิง

ไม่ต้องเป็นกฎหมายสำคัญอย่างมาตรา 112 หรอก แค่จะ แก้ไข พรบ.กลาโหม ไม่ให้มีการใช้เงินภาษีของประชาชนไปสร้างบ้านพักรับรองให้ใครบางคนได้อยู่ฟรี มีทหารรับใช้ฟรี ที่สำคัญใช้เป็นที่วางแผนทางการเมืองอะไรด้วยหรือไม่? อันนี้ยิ่งน่าคิด เพราะเป็นพื้นที่ปิดที่แม้แต่สื่อก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบได้

ทั้งๆที่เป็นกฎหมายเป็นแค่กฎระเบียบที่เห็นชัดว่าเป็นผลประโยชน์เฉพาะตัวบุคคล ซึ่งก็ใช่ว่าบรรดาอดีตผู้บัญชาการกองทัพจะฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากกฎระเบียบข้อนี้ก็ไม่ใช่เลย ทุกคนในอดีตต่างเลือกที่จะอยู่บ้านของตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี และได้รับการยอมรับจากสังคม

แต่กฎหมายอย่างนี้ ที่เห็นชัดว่าเป็นความเหลื่อมล้ำของสังคม ว่าเป็นกฎหมายกฎระเบียบที่เปิดช่องให้ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างไม่เหมาะสม แต่ก็ยังมีเหล่าเนติบริกร รวมทั้งส.ว. กับ ส.ส.บางคนออกมาบอกว่าพรรคก้าวไกลไม่มีปัญญาแก้ไขกฎหมายข้อนี้ได้หรอก

แล้วอย่างนี้ หากพรรคก้าวไกลยื่นขอแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 ที่อยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการแก้ไขนั้นยากมาก พรรคก้าวไกลจะแก้ไขได้ตามที่ต้องการได้อย่างไร

ถ้ายื่นมาแล้วเป็นร่างที่มุ่งล้มล้างสถาบันอย่างที่ถูกกล่าวหา รับรองได้ว่าพรรคก้าวไกลไปไม่รอดแน่ ถูกยุบพรรคได้สบายๆ

เพราะฉะนั้นทำไมไม่เปิดโอกาสให้สังคมไทย ให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้มีโอกาสเห็นร่างแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลด้วยตาของตนเอง ว่าล้มล้างสถาบันจริงอย่างที่ถูกกล่าวหาโจมตีหรือไม่?

ไม่ใช่มาใช้เป็นข้อกล่าวหาเล่นเกมทางการเมืองทำลายล้างกันอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

บางกอกทูเดย์ ยังคงย้ำเหมือนเดิมว่า วุฒิสภาพึงเป็นสภาของคนที่มีวุฒิภาวะ ไม่ใช่สภาของคนที่ยึดถือแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก

ผู้ใหญ่ในบางกอกทูเดย์ ยังเอ่ยปากเลยว่า วุฒิสภาไม่ควรเป็นสภาของคนที่มุ่งตอบแทนบุญคุณคนที่แต่งตั้งมาแบบไม่ลืมหูลืมตา

เพราะในอดีตก็มีสภาแต่งตั้งเกิดขึ้นมาแล้วหลายชุดหลายครั้ง ก็ไม่มีใครที่จะแสดงออกถึงการทุ่มเทตอบแทนบุญคุณคนแต่งตั้งโดยไม่แคร์สังคมขนาดนี้

ฝากไว้เป็นแง่คิดไปยังส.ว.ทุกคนว่า อย่าลืมภาษิตโบราณที่ว่า ‘ปลาข้องเดียวกันเหม็นตัวเดียวก็เหม็นกันหมดทั้งข้อง’

เชื่อว่าส.ว.ทุกคนคงไม่อยากให้สังคมจดจำชื่อ ในฐานะที่เป็น ส.ว.ที่ปกป้องการสืบทอดอำนาจคสช. จนละเลยประชาชนหรอกนะ

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *