ถึงเวลา ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’

ไม่ใช่แค่กระแสมาแรง แต่ชัดเจนและแน่นอนอย่างยิ่ง

อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะขยับขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง โดยไม่ต้องพึ่งพาหมอดู หรือร่างทรงใดๆมาพยากรณ์

ความเหมาะสมที่สุดอยู่ที่การบ่มเพาะความรู้ความเข้าใจการเมืองมายาวนาน ตั้งแต่สมัยติดตามอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา

เหมาะสมประการที่ 2 คือ เหมาะอย่างยิ่งกับจังหวะเวลาทางการเมือง ที่ต้องการคนรุ่นใหม่ วิธีคิดใหม่ๆ เพื่อเจาะฐานเสียงทางการเมืองใหม่ๆเพิ่มขึ้น

บทเรียนการตกต่ำและใกล้แตกดับของพรรคการเมืองบางพรรคที่อยู่ใต้เงารุ่นใหญ่ ไม่เปิดใจรับคนรุ่นใหม่ จนทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาอยู่ด้วยต้องกระจัดกระจายออกไป จนนำมาสู่ยุคตกต่ำที่สุดของพรรคการเมืองแห่งนั้น

คงไม่ต้องพูดให้ต้องชอกช้ำมากขึ้น เพราะคอการเมืองไทยรู้อยู่แล้วว่าเป็นพรรคใด ที่ยังไม่ยอมปรับตัว ไม่ยอมผ่าตัด ไม่ยอมปฏิรูป

บทเรียนมีให้เห็นชัดๆเช่นนี้ จึงเป็นภารกิจสำคัญของคนชื่อ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ที่จะต้องปฏิรูปพรรคเพื่อไทย ไม่ให้มีแค่คนเดิมๆ แต่ต้องเพิ่มเติมคนรุ่นใหม่ๆให้ได้

อีกประการที่สำคัญ คือ การได้รับความร่วมมือจากคนที่มีประสบการณ์ มีความสามารถในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการเมือง และด้านเศรษฐกิจ

ถ้าสร้างทีมที่แข็งแกร่งด้านการเมือง และด้านเศรษฐกิจได้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ จะยิ่งฉายแสง

แต่จุดอ่อนใช่ว่าจะไม่มี เรื่องแรกคือ นามสกุล ชินวัตร ที่ยังคงมีคนพยายามเล่นงานทางการเมืองแบบไม่เลิกรา ด้วยข้อกล่าวหาเดิมๆ ตรงนี้แม้จะไม่กังวล แต่ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร จะมองข้ามไปเลยคงไม่ได้

ศัตรูในเงามืด ย่อมรับมือได้ยากเสมอ

อีกจุดอ่อนคือ คนในพรรค คนรอบข้าง ที่ความรู้ความสามารถไม่มี แต่พยายามสร้างผลงานด้วยปาก สุดท้ายกลายเป็นว่า ยิ่งพูดยิ่งสร้างปัญหา เป็นประเภทแกว่งปากทำลายศรัทธา ทำลายแนวร่วม

27 ตุลาคมนี้ แรงเชียร์ให้ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ดังกระหึ่มแน่ๆ

แต่แน่นอนว่า ย่อมมาพร้อมภาระที่หนักและใหญ่

นั่นคือ ต้องทำให้ เพื่อไทยกลับมาเป็นขวัญใจของคนทุกกลุ่ม โดยไม่ผลักกลุ่มใดๆออกไปเป็นขั้วตรงข้าม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

ให้แง่คิดบนความหวังดี เพราะจากนี้ไปประเทศไทยถึงเวลาที่ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องเดินหน้าเสียที หลังจากที่จมปลักติดหล่มมาตั้งแต่ปี 2549

ภูวนารถ ณ สงขลา