อัปยศ ‘คดีฆ่าป้าบัวผัน’ สะเทือนสีกากี

จากที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการทรมานอุ้มฆ่าไปแล้ว ก็บังเอิญเกิดเหตุการอันน่าอัปยศอดสูใจที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วขึ้นมา ทั้งๆที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว

การกระทำอันโหดร้ายทารุณของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งทราบภายหลังว่าในกลุ่มเด็กที่ลงมือกระทำมีลูกของนายตำรวจในพื้นที่ดังกล่าวร่วมลงมือทำร้ายร่างกายหญิงที่มีปัญหาทางประสาท ที่ชื่อนางบัวผัน ซึ่งต่อมาเสียชีวิตด้วยการถูกตีด้วยท่อนเหล็ก และขาดอากาศหายใจด้วยการถูกกดน้ำทราบภายหลังจากการตรวจสอบจากแซตของกลุ่มผู้ก่อเหตุ

เหตุที่เกิดขึ้นคงไม่โด่งดังถ้ากลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ใช่ลูกนายตำรวจในพื้นที่ และมีข้อสงสัยว่าเหมือนจะช่วยกันจัดฉาก เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ก่อเหตุ ทั้งการเบี่ยงเบนประเด็นและรูปคดี ให้สามีของนางบัวผันเป็นผู้ลงมือฆ่าเสียเอง

อีกทั้งพ่อของผู้ต้องหาในกลุ่มซึ่งเป็นนายตำรวจ ยังพาลูกของตัวเองไปจังหวัดนครราชสีมาในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 13 มกราคม 2567

พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้ลงไปเคลียร์คดีนี้ตามคำสั่งของผบ.ตร แม้จะแสดงให้สังคมโดยรวมได้เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีดังกล่าว และประกาศว่าจะไม่มีการปกป้องใครก็ตาม แต่ลึกๆแล้วมีนัยยะที่สังคมยังหวาดระแวงและตั้งขอสนเท่ห์ในใจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจะตรงไปตรงมาจริงหรือไม่

องค์กรนี้ได้มีการปฏิรูปปรับปรุงไล่น้ำเสียออกไปหมดแล้วกระนั้นหรือ

ในยุคสมัยหนึ่งถึงมีคำกล่าวว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” แต่กาลต่อมาเรื่องอื้อฉาวในคดีสำคัญระดับชาติ สืบเสาะลึกลงไปกลับมีคนในเครื่องแบบล้วนมีสายโยงใยไปถึงทั้งสิ้น

วันนี้สีสรรค์ประชาธิปไตยแม้จะเด่นชัดขึ้นมาบ้าง ในแวดวงสีกากียังมีคนดีอยู่มากมาย คำว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์” ดูจะฟังแล้วอบอุ่นใจ แต่ไส้ในของแวดวงสีกากียังคงมีเสียงเรียกร้องให้ปรับจิตวิญญาณในการพิทักษ์สันติราษฎร์อยู่อื้ออึง

การปฏิบัติสองมาตรฐานคงจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้และวันข้างหน้า หากทุกหน่วยงานรัฐ ทุกองค์กร ทุกภาคส่วนในสังคม เคารพกฎกติกาอย่างเสมอหน้ากัน

สังคมไทยคงอยู่อย่างผาสุขกว่าที่เป็นอยู่ในวันนี้