24 ตุลาคม 2024

ส.ว.ถล่มนโยบายหาเสียงประชานิยม หวังเรียกคะแนนเสียง ข้องใจทำไม่ได้เข้าข่ายหลอกลวงหรือไม่

0

ตั้งประเด็นสงสัยนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต มีบริษัท หรือพรรคการเมืองใดได้ประโยชน์หรือไม่

เมื่อวันที่ 30 มกราคม ในการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาเรื่องผลกระทบของนโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมของพรรคการเมืองไทย ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา พิจารณาเสร็จแล้ว โดย นายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ ส.ว.กมธ.ฯในฐานะประธานอนุกมธ.ด้านวิชาการและเสริมสร้างให้ความรู้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัติรย์ทรงเป็นประมุข พิจารณาศึกษาเรื่องผลกระทบของนโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมของพรรคการเมืองไทย กล่าวว่า การพิจารณาศึกษาเรื่องนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน ซึ่งคณะอนุฯเห็นว่านโยบายการหาเสียงของพรรคการเมือง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในกระแสสังคมอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งมีข้อดีและข้อเสียต่างกันไปจนเป็นเหตุทำให้มีผลกระทบต่อประชาชนที่คาดหวังที่เฝ้ารอดูว่านโยบายนี้จะทำได้จริงตามที่หาเสียงไว้หรือไม่

นายกำพล กล่าวว่า การที่พรรคการเมืองในอดีตและปัจจุบันได้นำนโยบายต่างๆ มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาคะแนนเสียงให้ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง หากมีการหาเสียงไปในทิศทางการสร้างวาทกรรม หรือการใช้ช่องว่างทางกฎหมายที่ไม่เหมาะสมล้วนแล้วก่อให้เกิดปัญหา สร้างร่องรอยความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง และทำให้เครืองมือที่บังคับใช้เกิดความล้มเหลว หน่วยงานที่กำกับดูแลจะเกิดความอ่อนแอ และจากการติดตามผลของการบังคับใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่พรรคการเมืองต้องชี้แจงที่มาและแหล่งเงินที่นำมาทำนโยบาย ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่พบว่าการเลือกตั้งปี 66 พรรคการเมืองมีการใช้นโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมมากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา นโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองที่ไร้ผิดชอบ เปรียบเสมืองนโยบายชวนเชื่อที่พยายามจะให้ช่องว่างของกฎหมาย สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ก่อภาระหนี้ผูกพันของประเทศมาจนถึงปัจจุบันและอนาคตได้

นายเชษฐา ทรัพย์เย็น อนุกมธ.ฯ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องความชอบธรรมในการออกนโยบายประชานิยม อาจจะเป็นการละเมิดหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะเป็นการเอาเสียงข้างมากมากดเสียงข้างน้อย และเป็นการเอาผลประโยชน์ของประชาชนแลกกับคะแนนเสียงทางการเมืองหรือไม่ ประเด็นเรื่องความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ เนื่องจากการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อที่จะแจกจ่ายเงินไปถึงมือประชาชนนั้น อาจจะทำให้ประเทศเกิดปัญหาหนี้สินอย่างมหาศาลตามมา ถ้าการดำเนินการไม่เป็นไปด้วยความรอบคอบและรัดกุม ประเด็นเรื่องความยั่งยืนแก้ความเหลื่อมล้ำไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างแท้จริง เพราะเป็นการแก้ปัญหาแบบหว่านแหไม่ได้มุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง และในทางเศรษฐศาสตร์การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต อาจจะไม่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการแจกเงินให้ทุกคนเท่ากัน ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตอาจจะไม่คุ้มค่า หากเปรียบกับการทำเงินไปใช้กับโครงการอื่น เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตอาจจะส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมากมาทำโครงการในระยะสั้น

ร้อยตรีวงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี ส.ว. อภิปรายว่า นโยบายของพรรคการเมืองมีผลต่อปากท้องของประชาชน เพราะประชาชนทำมาหากินภายใต้นโยบายรัฐบาล ส่วนนโยบายที่มุ่งไปที่รัฐสวัสดิการนั้นตนเห็นด้วย แต่ต้องดูว่ารัฐบาลทำตามหน้าที่หรือไม่ ผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ กมธ.ต้องกล้านำเสนอ เพราะไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งสมัยหน้าจะมีปัญหา เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมามีพรรคการเมืองหนึ่งบอกว่าจะให้ 2 หมื่นบาทจะทำอย่างไร เพราะวันนี้แค่ 1 หมื่นบาทก็ยังทำไม่ได้ แต่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมาแล้วเพราะความอยากได้ หรือที่เสนอไว้ค่าแรง 600 บาทต่อวัน ก็ไม่ได้

นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ส.ว. อภิปรายว่าเรื่องประชานิยมโดยเฉพาะเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่เป็นแกนนำรัฐบาล ที่หาเสียงไว้อย่างแต่ปฏิบัติอีกอย่าง โดยหาเสียงว่าเงิน 5.6 แสนล้านบาท ให้คนละ 1 หมื่นบาททุกคน โดยไม่ต้องกู้ แต่เวลาแถลงนโยบาย ก็บอกเงินไม่มี ต้องกู้ และแจกไม่ครบทุกคน อย่างนี้ถือว่าหาเสียงอีกอย่างทำอีกอย่าง หลอกลวงเพื่อคะแนนนิยม ทำให้ประชาชนหลงผิด และหากรัฐบาลต้องกู้เงิน 5.6 แสนล้านบาทจะมีผลกระทบที่ตามมาคือต้องจ่ายเงินต้นเพิ่มอีกปีละ 1.24 แสนล้านบาท จากที่ต้องจ่ายทุกปีละ 1.3 แสนล้านบาท ดอกเบี้ยจากที่ต้องจ่ายปี 67 ตั้งไว้ 2.3 แสนล้านบาท หากกู้เราต้องจ่ายเพิ่มอีก จะทำให้เราต้องจ่ายทั้งต้นและดอกรวมแล้วปีละ 4.8 แสนล้านบาท จากงบประมาณที่ตั้งไว้ 3.48 ล้านบาท ซึ่งจะกระทบต่อการบริหารหนี้ จึงสงสัยว่าการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตกลงแล้วรัฐบาลจะเอาเงินจากตรงไหน จะกู้หรือเงินจากงบประมาณและจะยกเลิกหรือไม่ เพราะการเอาเงินบาทไปแลกเหรียญดิจิทัล และะเอาเงินดิจิทัลไปแลกเงินบาท ก็เสียค่าทำเนียมอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท บริษัทไหน พรรคการเมืองไหนจะได้ประโยชน์ ดังนั้น โครงการนี้ต้องคิดให้รอบคอบ เพราะสิ่งที่พรรคการเมืองทำก็คิดแค่ประโยชน์ของพรรคและกลุ่มทุนเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *