24 ตุลาคม 2024

ดร.สุชาติ ชี้ บริหารเศรษฐกิจ​ต้องดูเป็นระบบ​ ติงใช้เหตุผลย่อยตัดสินใจมักจะผิดตรงข้าม

0

ดร.สุชาติ​ ธา​ดา​ธำ​รง​เวช​ ศาสตราจารย์​เศร​ษฐศาสตร์​มหภาค​ และอดีตรัฐมนตรี​ว่าการกระท​รวงการคลัง​ กล่าวว่า ​การบริหาร​เศรษฐกิจ​ต้องบริหารเป็นระบบ​ ซึ่งเรียกว่า​ ​Macroeconomics​ ควรใช้ระบบนี้ตัดสินใจเท่านั้น​ ไม่ควรเอา​เหตุผล​แบบย่อย​ๆ(Microeconomics)​ ​มาใช้อธิบายเข้าไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผลลัพธ์​จะผิดตรงข้ามเลย​ เช่นกรณีผู้ช่วยผู้ว่าแบงก์ชาติ​คนหนึ่ง นำเหตุผลจากภาพย่อย​(Micro)​ มาพูดว่า​ หากดอกเบี้ย​ต่ำประชาชนจะไปกู้เงินมากขึ้น​ แล้วเป็นหนี้มากขึ้น​ ดังนั้น​ต้องขึ้นดอกเบี้ย​แล้วประชาชนจะกู้น้อยลง​จึงจะเป็นหนี้น้อยลง​

ดร.สุชาติ กล่าวว่า แต่หากมอง​ระบบ​(Macro)​ ล้วนๆ​ การลดดอกเบี้ย​ ประการแรกจะทำให้การลงทุนเอกชน(I) เพิ่มขึ้น​ ประการที่สองทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง​ มีผลให้การส่งออกและท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น​(X) โดยทั้ง​ 2 ตัว​แปร อยู่ใน​สมการ GDP​ = C+I+G+(X-M) จึงทำให้​ GDP​ เพิ่มขึ้น​ ทำให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น​ จึงไปกู้มาเพื่อการบริโภค​(C) น้อยลง​ และดอกเบี้ยบนยอดหนี้รวมก็น้อยลง​ด้วย

“ดังนั้น​ การลดดอกเบี้ย​จึงทำให้หนี้ครัวเรือนลดลง จะเห็นได้ว่า​ผลลัพธ์​ตรงข้ามกับที่ผู้ช่วยฯ​ท่​านนั้นพูดเลย การบริหารเศรษฐกิจ​จึงต้องดูให้เป็นระบบ​ ต้องไม่เอาเหตุผล​ภาพย่อย(Micro)​ มาอ้าง​อิง​ เพราะจะผิดมากกว่าถูก ซึ่งคนมักพูดผิดๆ​เป็นประจำ​ แม้จบเศรษ​ฐศาสตร์​มาแล้ว​ จึงขอสรุปเบื้องต้นว่า​ เวลาวิเคราะห์​ระบบ​ Macroeconomics​ ไม่ควรนำเหตุผลจาก​ Microeconomics​ ที่พูดเป็นเรื่องๆ​แยกออกจากกัน​มาอ้างอิง​ด้วย​”

ดร.สุชาติ กล่าวด้วยว่า ในเรื่อง​ศักยภาพ​การผลิต​(Productivity​)​ แม้ประเทศใหญ่มากๆ​อย่างสหรัฐ​ฯ​ เมื่อดำเนินนโยบายถูกต้อง​ยังสามารถเติบโตได้ถึง​ 3-4% ในไตรมาสที่​2 และ 3 ของปี 2566 ส่วนญี่ปุ่น​ ในไตรมาส 3 ก็เติบโต​ได้ 6% ดังนั้น​ การที่แบงก์ชาติ​พูดว่าเรามีศักยภาพ​เติบโตได้เพียง 3% กว่าๆ​ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ​ สำหรับประเทศยากจนอย่างไทย​ที่ไม่สามารถช่วยกันสร้างศักยภาพ​ทางเศรษฐกิจ​ให้เติบโตได้​ 5-6% การขาดความรู้​ความเข้าใจ​ ไม่ทำตามหลักวิชา โดยขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินไป กดเงินเฟ้อต่ำไป​จนติดลบ​ ทำให้ระ​บบเศรษฐกิจ​แทบไม่เติบโต​ ไม่มีอนาคต และ​ประชาชน​ยากจน​

นอกจากนี้ ประเทศจีน ซึ่ง GDP​ เติบโตกว่า​ 5% ในปี​2566​ ก็ยังลด​ Required Reserve ratio ถึง 0.5​ point เพื่อฟื้นเศรษฐ​กิจ​ โดยไม่ได้อ้างแบบแบงก์ชาติ​ไทย​ว่า​จะฟื้นเศรษฐ​กิจ​ต้องไปเพิ่ม​ศักยภาพ​การผลิต​(Productivity)​ แต่แบงก์ชาติ​ไทย​ไม่ยอมลดดอกเบี้ย​ ทั้งๆ​ที่​ GDP​ ปี​2566​ เติบโตเพียง​ 1.8% โดยอ้างว่าดอกเบี้ยเป็นกลาง จึงแสดงถึงการขาด “หลักวิชา” นับเป็นเรื่องที่โชคร้ายสำหรับประเทศและประชาชน​ไทย

ดร.สุชาติ กล่าวว่า การที่แบงก์ชาติ​พูดว่า​ หากรัฐบาลไทย ต้อง​การความเจริญเติบโต (GDP growth) สูงขึ้น​ ก็ต้องไปเพิ่ม​ Productivity​ แต่​คำๆ​ นี้เป็น​แนวคิดระดับ Micro​ เป็น​ตัวแปร​ตาม​ตัวอื่นๆ จึงต้องค้นหาดูว่า​ เราจะเพิ่ม​ Productivity​ ของชาติได้อย่างไร​ คำตอบคือต้องขายของได้​มากขึ้น กรณีประเทศ​ไทย​คือส่งออกสินค้าและบริการ​ได้มากขึ้น​ จึงไปจะดึง​การใช้​กำลังการผลิต​(Capacity)​ ให้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน​ใช้เพียง​ 57% เกือบต่ำสุดในโลก​ และเมื่อเพิ่ม Capacity ได้ใกล้ 100% แล้ว​ จึงจะมีการไปซื้อ​เครื่อง​มือเครื่อง​จักร​ที่มีเทคโนโลยี​ใหม่ๆเข้ามา​เพิ่ม​ Productivity​

“แล้วประเทศไทยจะส่งออกมากขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องไปลดดอกเบี้ย​ ทำให้ค่าเงินบาท​อ่อนลง​ แข่งขันได้ดี​ขึ้น ดังนั้น​ การลดดอกเบี้ย​จึงจะทำให้Productivity​ เพิ่มขึ้น แล้วรัฐบาลยังได้ภาษีมากขึ้น สามารถนำไปสร้างโครงสร้างและบริการพื้นฐานมากขึ้น​ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Productivity​ ของชาติ​ อีกทางหนึ่งด้วย​”ดร.สุชาติ​ กล่าวในที่สุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *