24 ตุลาคม 2024

“เศรษฐกิจ-หนักแอ๊ด” แต่พวก“เทคโนแครต” เดือนหนึ่งรับประทานเงินเดือนเป็นล้าน ๆ ตกปีละ ๑๓-๑๔ ล้านเชียว

พวกนี้-เป็นพวก“ส่วนหัว” ที่เห็น..แต่ประโยชน์“เจ้าสัว” ธนาคารพาณิชย์ เป็นสำคัญ.. เรียกว่า “แบงก์”เป็นผู้ที่“ยืนหนึ่ง” ได้กำรี้-กำไรกันอย่างหน้าชื่น-ตาบาน

หอบเอา“หยดเลือด-หยาดน้ำตา” ไปแปรสภาพ“หาความสุขอยู่”ที่“นอกประเทศ” ตีพุงสบายบรื๋อ

ลอง“ดีดลูกคิดรางแก้ว” กันดูว่า..มีธุรกิจใดบ้าง ที่“กอบโกย” ตักตวงขนกำไรมหาศาลกันได้ปานนี้

เอาเงินชาวบ้านที่ไปฝาก แล้วเจียดดอกเบี้ย-มาอย่างเสียไม่ได้ ให้ประโยชน์จิ๊บจ๊อบ ๐.๒๕ % ถ้าฝากตั้งแต่ ๑๐ ล้านขึ้นมา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเท่ากับ ๑.๐๐ % ได้แค่“ขี้เล็บ” ไม่พอยาไส้ด้วยซ้ำไป

ขณะที่“แบงก์พาณิชย์” ปล่อยเงินกู้ฟาดกำไรบนหัวประชาชนกันอย่างล่ำซำ ปีละ ๑๒-๑๓ % นี่ไม่รวม“ค่าปากถุง” ที่ถูกเรียกเก็บ๕-๘ % อีกต่างหาก เปิบส่วนนี้ กินกัน“กระเพาะคราก” ลำไส้อักเสบมิใช่น้อย

ซึ่ง“นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” มองทะลุเข้าถึงไส้ในการกินกำไรที่“รวยคนเดียว”ของธนาคาร ต้องมีการ“ปรับดอกเบี้ยลง”

แต่“เทคโนแครต เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กลับ“ขวางคลอง-ผยองเดช”เต็มที่

การประชุมนโยบายการเงิน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ ที่“เศรษฐพุฒิ”กำกับ คอนโทรล ควบคุม มีอำนาจเหนือผู้ใด..มีมติ “คงดอกเบี้ยนโยบาย”ไว้ในระดับเดิม ๒.๕๐ %..แล้ว“รัฐบาลเศรษฐา”จะเข็นเศรษฐกิจ“ให้โงหัวขึ้น”ได้ฉันใด

และหนำซ้ำยังมี“แนวโน้ม” ที่จะ“ยืนกระต่ายขาเดียว” ตรึงอัตราดอกเบี้ยนี้ไว้ ตลอดไปจนสิ้นปี ๒๕๖๗ อีกด้วย

“เบี้ยโหด-เศรษฐกิจก็หด” เป็นของธรรมดา.. หลักการพื้นๆของธรรมชาติ ที่“กดหัวเขา” ความซบเซาในวงเงินมันจึงเกิด เห็นได้จาก“ธุรกิจ” ไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ พากัน“รูดม่าน” เลื่อนเพื่อปิดตัวกันเป็นทิวแถว

ที่มียอดแจ้งให้รู้ทั่วกัน ที่“เจ๊งราบพนาสูร” ไปแล้วถึง ๑,๗๐๐ กว่าแห่ง..ทำให้คนไทยที่เป็น“ลูกจ้าง” พากัน“ตกงาน”ระนาว มากมาย ไม่มีเงินเดือน และรายได้-รายวัน เข้ามาจุนเจือครอบครัว

เป็นการเหยียบย่ำ-ซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ยิ่งทรุด-ฉุดไม่ขึ้นเข้าไปอีก

เมื่อ“ผู้ว่าฯเศรษฐพุฒิ” เป็น“ปลาคนละน้ำ” ทำงาน“ไม่เข้าขา” กับ“รัฐบาลของประชาชน” ที่เลือกให้เข้ามาบริหารชาติ ถึงหลายคนยอมรับดุษฎี ใน“ความขยัน-ขันแข็ง” ไม่เกียจคร้าน เอาการ-เอางานของ“นายกฯเศรษฐา”

ต่อให้“ขยัน” เกินวันละ ๒๔ ชั่วโมง แต่การ“ฟื้นฟูเศรษฐกิจ”ที่จะให้เห็นผลก่อนครบเทอม ๔ ปี คงเป็นได้ยาก ถ้าไม่มี “ความเฉียบขาด-เด็ดขาด เสียอย่างแล้ว..ขยันไปก็เป็น“ความเสียเปล่า” เสียแรง เท่านั้นเอง..

“การเป็นมิตร” กับ“ผู้ร่วมงานทุกคน” เป็นสิ่งที่“ผู้นำ”จะต้องมี เพื่อให้งานทุกอย่างเดินไปได้อย่างโสภา-สถาพร ทว่าการเป็นมิตร จะกลายเป็น“โทษมหันต์”กับตัวผู้นำเอง ถ้าไม่มีการ“ลงทัณฑ์” ผู้ที่ขัดขวางนโยบาย ทุกอย่างก็จะเละ

ทำไม“พวกกูรู-กูเรื้อน” จึงอยากให้“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นมาเป็นนายกฯ เพราะเขารู้ เมื่อเข้ามา“มีอำนาจ”..ท่านจะใช้“พลังแห่งกฎหมาย”เพื่อบริหารชาติ ทำเพื่อประชาชนได้ทันที

ข้อนี้นับเป็นจุดแข็ง-จุดขายเดียว” ที่“เซียนข้างเวที” พากันเชียร์ให้“พล.อ.ประวิตร” เป็นเบอร์หนึ่งแห่งตึกไทยคู่ฟ้า

อย่าลืมว่า“ความหวานเจี๊ยบ” ที่“นายกฯเศรษฐา”มี..ก็ไม่ผิดอะไรกับ“พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์” อดีตนายกรัฐมนตรี “หวานโดยไม่ลงทัณฑ์” แค่“ประคองสถานการณ์”ได้เท่านั้น..ไม่สามารถทำให้“นโยบายบรรลุ”ถึงผลสำเร็จได้

ทำไม“นักปั่น” จึงใช้ปากและมือเป็นประวิง เพื่อให้“พล.อ.ประวิตร” ขึ้นมาแทน“นายกฯเศรษฐา”ให้ได้ โดยเชื่อว่า“อำนาจที่ยิ่งใหญ่”ต้องใช้ได้และต้องใช้ให้เป็น เพื่อให้ไทยกลับมาเป็น“เสือตัวที่ ๕แห่งเอเชีย” ไม่ใช่รั้งท้ายเช่นนี้

“ทานอาหาร”กันแต่ละมื้อ ยังต้องมีการ“เติมรส” ทั้งหวานมัน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด เพื่อให้เกิดความกลมกล่อม

“นายกฯเศรษฐา” ต้อง“ยกระดับ”การใช้อำนาจ ให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่านี้

ถ้ายัง“เหลวเป๋ว” ไม่เป็นสับประรดขลุ่ย กันอีกต่อไป..

จะถูกแบงก์ชาติบด.. “ควรใช้อำนาจที่มีทั้งหมด”.. ปลดผู้ว่าฯแบงก์ชาติไปเหอะ อย่าให้เป็นหอกข้างแคร่อยู่เช่นนี้

“กะพรุนไฟ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *