กตร.ยุค ‘เศรษฐา’
ดูเหมือน ขั้วอำนาจเก่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มองว่า พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. อยู่ในสถานการณ์ขั้นวิกฤตแล้ว
ถึงได้เดินหน้าทั้งยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม และฟ้องร้องคดีอุตลุดไปหมด
เชื่อไปถึงขนาดว่า การสกัดเส้นทางสู่ผบ.ตร. จะดับฝัน พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ได้แน่นอนแล้วในครั้งนี้
สารพัดวิธีการ และการผลึกกำลังเปิดศึกกับโจ๊ก เป็นใครก็คงต้องเชื่อว่ารอบนี้ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแน่
แต่น่าอนาถ เพราะเป็นความเชื่อที่แลกมาซึ่งความย่อยยับขององค์กร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในสายตาของสังคม
และที่หนักหนาสาหัสที่สุด คือความย่อยยับของกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย
กับประโยคที่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ พูดว่า ถ้ายังไม่สามารถปกป้องความยุติธรรมให้กับตัวเองได้ แล้วจะไปปกป้องความยุติธรรมให้กับประชาชนได้อย่างไร
สะท้อนสัจจะความจริงได้เป็นอย่างดี
แค่ประเด็นเดียว ประชาชนก็มึนตึ๊บแล้ว กับกรณีคำสั่งที่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ โดนให้ออกจากราชการไว้ก่อน กฤษฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยมติเอกฉันท์ 10 ต่อ 0
ขณะที่ กตร. ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 ว่าเป็นคำสั่งที่เป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนการออกคำสั่งแล้ว
ที่ตลกก็คือ ในการประชุมกตร. ที่มี เศรษฐา ทวีสิน นั่งหัวโต๊ะ ทั้งๆที่ได้รับรู้อยู่แล้วว่ากฤษฎีกามีความเห็นอย่างไร แต่ก็ปล่อยให้มีการใช้สไตล์ ‘ศรีธนญชัยทางกฎหมาย’ กันเกิดขึ้น
ยกอ้างดื้อๆ บรรดาคำสั่งให้ออกจากราชการ มีทั้งการใช้กฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ปี 2565
หลักยุติธรรมสามารถเลือกใช้กฎหมายเก่าหรือกฎหมายใหม่ก็ได้ เพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างนั้นจริงหรือ
เป็นตลกร้ายที่สร้างรอยด่างให้กับวิถีกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
ยิ่งข้ออ้างที่ว่ากตร. พิจารณาแค่คำสั่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือกฎระเบียบหรือไม่ แต่ไม่ได้พิจารณาว่า ถูกหรือไม่ถูก
โยนไปให้เป็นเผือกร้อนของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ที่จะดูว่าเป็นคำสั่งที่เป็นธรรมหรือไม่
ฟังแล้วเจ็บปวดยิ่งนัก สังคมไทยยังมีศรีธนญชัยทางกฎหมายไม่มากพอหรืออย่างไร
วันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งควรเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม กลับกลายเป็นต้นเหตุแห่งข้อสงสัย ว่ากระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซงได้อย่างนั้นหรือ
กระบวนการยุติธรรมสามารถพลิกแพลงเพื่อสนองตัณหาแห่งอำนาจและผลประโยชน์ได้อย่างนั้นหรือ
แล้วสังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร
หนามกุหลาบ