23 ตุลาคม 2024

Class Action สัญจรอุบลราชธานีคึกคัก TIA ปลื้ม! ทนายอาชีพอีสานใต้เข้าอบรมร่วม 200 คน

0

สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) จัด Class Action สัญจรครั้งที่ 5 จังหวัดอุบลราชธานี มีทนายความอาชีพอีสานใต้ 200 คนร่วมอบรมการดำเนินคดีแบบกลุ่มคดีเกี่ยวกับหลักทรัพย์ รับข้อมูลและแนวทางปฏิบัติตรงจากผู้พิพากษาศาลสูง อบรมจบรับวุฒิบัตรทันที ใช้เป็นใบเบิกทางเข้าสู่ทนายความอาชีพที่ผ่านการอบรมความรู้คดีด้านตลาดทุน

นายยิ่งยง นิลเสนา นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) องค์กรตัวแทนผู้ถือหุ้นรายบุคคลทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน เพื่อความยั่งยืน ที่อยู่คู่ตลาดทุนไทยมากว่า 35 ปี เปิดเผยว่า สมาคมยังคงเดินหน้าให้ความรู้ เรื่อง การดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) อย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 จัดที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของทนายความภาค 3 ครอบคลุม 8 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดชัยภูมิ จากที่ผ่านมาดำเนินการมาแล้ว 4 จังหวัด และยังคงได้รับความสนใจจากทนายความอาชีพเข้าร่วมอบรมเกือบ 200 ราย ซึ่งรวมกับการสัญจรที่ผ่านมา มีทนายความอาชีพผ่านการอบรมแล้วกว่า 700 คน

นางสิริพร จังตระกูล เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) กล่าวว่า การจัดสัญจรปีนี้ ทาง TIA ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณทั้งหมดจาก กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เป้าหมายของการจัดสัญจรให้ความรู้เชิงลึกทั้งทางทฤษฎีและแนวทางปฎิบัติและการนำมาใช้ในอาชีพจริงให้กับทนายความอาชีพทั่วประเทศไทย ในการนำกฎหมาย Class Action มาใช้ในตลาดทุนไทย เพื่อเป็นเครื่องมือในการดูแลและปกป้องนักลงทุน ดังนั้นการเติมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์ เพื่อเป็นส่วนสำคัญให้การบังคับใช้กฏหมายมีประสิทธิภาพ

“ในส่วนความคืบหน้าในการยกร่างศูนย์ให้ความช่วยเหลือ มีความคืบหน้ามากและคาดว่า จะยกร่างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมนี้ และเป็นการดำเนินการภายใต้แนวคิดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต) ที่ให้มีศูนย์ฯเพื่อดูแลช่วยเหลือนักลงทุน”เลขาธิการ TIA กล่าว

นายวีระศักดิ์ บุญเพลิง ประธานกรรมการบริหาร สภาทนายภาค 3 กล่าวว่า ขอขอบคุณ TIA ที่มาสัญจรภาคอีสาน นำความรู้มาเผยแพร่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และทนายความอาชีพสามารถนำความรู้ที่เกิดขึ้นจากการอบรมมาใช้เป็นประโยชน์ในอาชีพ และเป็นไปตาม MOU ที่สภาทนายความฯได้ทำไว้กับทาง TIA ซึ่งการจัดสัญจรให้ความรู้ จะเป็นการพัฒนาความรู้ทางด้านวิชาการ นำความรู้ไปคุ้มครองประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ทั้งจากคดีที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน คดีคุ้มครองผู้บริโภคและคดีสิ่งแวดล้อม ที่สามารถนำกฎหมาย Class Action ไปใช้ได้ และทำให้ทนายความมืออาชีพมีความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพได้

นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล รองประธานศาลอุทธรณ์ และช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้บรรยายให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคดีกลุ่มกับทนายอาชีพที่เข้าร่วมอบรม ว่า บทบาทของกฎหมาย Class Action จะมีความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ ที่ทุกประเทศทั่วโลกให้ความสนใจ ซึ่งประเทศไทยมีกฎหมายนี้มาตั้งแต่ปี 2558 ดังนั้นการที่ TIA จัดโครงการอบรมถือเป็นเรื่องที่ดี และกฎหมายแรื่องหลักทรัพย์ถือว่าดีและมีประโยชน์มากเพราะดูแลคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยได้

อย่างไรก็ตามคดีที่จะเข้าลักษณะการดำเนินคดีแบบกลุ่ม คือ สิทธิผู้บริโภค, หลักทรัพย์และการแข่งขันทางการค้า, สิ่งแวดล้อม, คดีละเมิดที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก และสิทธิพลเมือง เป็นต้น ขณะที่กลุ่มบุคคลที่จะเข้าลักษณะการดำเนินคดีแบบกลุ่ม คือบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปไม่จำกัดจำนวนสูงสุด สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยต้องเหมือนกัน อาศัยข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเดียวกัน ความเสียหายของแต่ละคนไม่เหมือนและไม่เท่ากันได้

“นับตั้งแต่เริ่มที่จะดำเนินคดีแบบกลุ่มขอแนะนำให้ทำรายละเอียดทั้งหมดของกลุ่มบุคคลที่เข้ามา และทำรายการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการทำคดีทั้งหมด เพราะ เมื่อถึงวันที่ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ประเด็นเหล่านี้ก็ต้องพร้อมที่จะเปิดเพื่อการพิจารณา เพราะตามกฎหมายนั้นผลตอบแทนของคดีที่จะได้รับ 30% ของมูลฟ้องนั้นทนายความจะต้องถูกนำมาพิจารณาทั้งหมด”

นายสรวิศ ลิมปรังษี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา กล่าวว่า คดีหลักทรัพย์มีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับลักษณะความเสียหาย นอกจากนี้คดีเกี่ยวกับการหลอกให้ลงทุนในคริปโทแบบไม่ได้รับอนุญาตก็สามารถเข้ามาสู่การดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ ซึ่งกรณีนี้ได้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาแล้ว อย่างไรก็ตามอีกประเด็นที่สำคัญ ผู้ที่จะเป็นโจทก์และเป็นสมาชิกกลุ่มจะต้องเก็บเอกสารที่เกิดขึ้นในคำสั่งซื้อขายไว้เป็นหลักฐานด้วย

นอกจากนี้การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะมีประโยชน์โดยรวมมาก เพราะเป็นการดำเนินการครั้งเดียวแต่คำพิพากษาจะครอบคลุมทั้งหมด ทั้งผู้เสียหายที่เป็นสมาชิกกลุ่มและไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม บนสิทธิและข้อเท็จจริงเหมือนกัน ภายใต้หลักกฎหมายเดียวกัน รวมทั้งมีระยะเวลาที่เร็วกว่าและค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการดำเนินคดีตามขบวนการตามปกติ

อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีแบบกลุ่มในคดีหลักทรัพย์ การแบ่งกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญมากในการทำคดีซึ่งในกรณีซื้อขายหลักทรัพย์จะแบ่งได้ 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มคนที่เข้าซื้อหุ้น และยังคงถือหุ้นอยู่เต็มจำนวนที่ซื้อ 2.คนที่เข้าซื้อก่อนและระหว่างทางมีการขายออกแต่ไม่ได้ขายทั้งหมดและยังมีหุ้นถืออยู่ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีความยากในการคิดและประเมินมูลค่า และ 3.ขายหุ้นออกทั้งหมดแล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนิติบุคคลที่เข้าลงทุนหุ้นที่มีปัญหา ซึ่งกลุ่มนี้จะมีการจัดการเพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการจัดการก่อนเมื่อเห็นว่าเกิดปัญหา

นอกจากนี้ในการประชุมร่วมกันระหว่างศาลในอาเซียนมีการคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนและขอข้อมูลระหว่างกัน เพราะมีการกระทำผิดที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นเช่นกรณีซิปเม็ก เป็นต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *