ข้าวไทยพุ่ง-กระทุ้งเศรษฐกิจดี
“ประชาธิปไตยครองเมือง”..ทำให้“เศรษฐกิจฟูเฟื่อง” กระเตื้องขั้นทันควัน
“การส่งออกข้าว”ที่ทำรายได้เข้าประเทศ “โบ๋เบ๋” หมดเกลี้ยง ทำให้“กระดูกสันหลังของชาติ” จนกรอบมาเกือบ ๑๐ ปี
เริ่ม“แทงทะลุช่อ” เหมือนกับ “แม่โพสพ” ที่ตั้งท้องเหลืองอร่าม ปลิวไสวมองแล้ว “อิ่มหัวใจ” ปลาบปลื้มยิ่งนัก
ประเทศไทยเรา“เสียแชมป์” เข็มขัดกระเด็นไปให้“เวียดนาม” ผู้ที่ถือว่า“แมว”เป็นเพื่อนในครอบครัว ที่ช่วยป้องกันพืชผล และ อาหารจากบรรดาสัตว์ฟันแทะ
ทั้งยังเป็น“สัญญาลักษณ์” ช่วยขับสิ่งเลวร้าย และนำโชคดีมาให้
ไทยเราซึ่งมี“คชสาร-พญาช้างใหญ่”เป็นสัญญาลักษณ์ ถูก“แมว”จากเวียดนาม“ข่วน” ชิงการส่งออกข้าวไปได้
แต่นับจากที่มี“รัฐบาลประชาธิปไตย” ของ“นายกฯนิด “เศรษฐา ทวีสิน ขี่ม้าขาว-สร้างเรื่องราว แก้เศรษฐกิจกันแบบใหม่ๆ การส่งออกข้าวของไทย ที่“หงอยเหงา-เหมือนเต่าคลาน” พลันก็กระเด้ง สปริงตัว ลอยละลิ่วเหมือนลูกบอลที่สู่ท้องนภา
เพราะในช่วงครึ่งปีแรก ปี ๒๕๖๗ “ข้าวไทย” ทำเป้าเกินจุดมุ่งหมายไปอย่างบานตะเกียง
เราสามารถส่งออกข้าวได้แล้ว“๕ ล้านตัน” มีมูลค่าสปีดตัวด้วยความเร็วสูงมากกว่าเก่า ถึง ๙๖.๖% คาดว่าในปลายปี ๖๗ จะส่งข้าวออกไปตีตลาดโลก ไม่น้อยกว่า ๙-๑๙ ล้านตัน”
เริ่มเห็น“แสงทอง”ริมขอบปลายฟ้าแล้ว ว่าเรามีโอกาสกลับมาเป็น“หนึ่งในยุทธจักร์” ส่งออกข้าวไม่ยากเอาเสียเลย
ขอเพียงแต่ว่า“กระบวนการ-ลายพราง” อย่าหาเหตุสร้างเงื่อนไข“ปฏิวัติ-รัฐประหาร” ถ่วงความเจริญอีกก็แล้วกัน
หาก-อยากมีอำนาจเป็น“นายกรัฐมนตรี” ก็เข้ามาตามเส้นทาง แบบฟ้าสว่าง ผ่าน“การเลือกตั้ง”ของประชาชนสิ
ไม่ใช่ “ใช้ปืน” แอบมา“ตีหัวเข้าบ้าน” ชิงเอา“อำนาจของประชาชน”เขาไป หนทางนี้ มันช่าง“บอดใบ้” มืดมิด สกปรกกันอย่างสุด ๆ
ทำ “ปฏิวัติ” กันมานับสิบกว่าหน ได้ “ประโยชน์-โภคผล อันงอกงามเกิดกับแผ่นดิน ที่ไหนกัน
“ปฏิวัติ”ที่ผ่านมา เหมือนเป็นการ“ตัดมือ-ตัดเท้า” มิใช่เป็นการ“ศัลยกรรม” ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเลย
“ความเฉียบขาด” ที่สั่งการโดยใช้อำนาจ“คนเพียง-คนเดียว” การไตร่ตรอง ย่อม“ผิดพลาดได้เสมอ”
ไม่เหมือนกับการ“พิจารณา”ที่ผ่านตัวแทนของประชาชน มีมุมมองจากหลายด้านของ“รัฐบาลและฝ่ายค้าน”ช่วยกันคิด จึงได้สิ่งดีงาม ที่“ตกผลึก” ที่“กลั่นกรอง จนได้แก่น”ที่สมบูรณ์แล้ว จึงได้ออกกฎหมายเพื่อใช้กัน
เราลองหันมาดู“ต้นทุน”ในการ“ปลูกข้าว-หว่านข้าว” ใช้งบกันเต็มกลืน-ขื่นขมจนน่าใจหาย
ต่อไร่ใช้เงินประมาณ“๕,๐๐๐-๕,๕๐๐ บาท” เป็นต้นทุนที่ไม่รวมกับ“หยาดเหงื่อ-แรงกาย” ที่ทุ่มไปอย่างสุดชีวิต
และใน ๑ ไร่นั้น ให้“ผลผลิต”เพียงแค่“๖๐-๗๐ ถัง”..จนมีคำพูดติดหูว่า “ทำนาปรังมีซังกับหนี้ ทำนาปีมีหนี้กับซัง”
“บ้านเรา”เป็น“เมืองแคว้น-ดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ” มีแผ่นดินที่เหมือน“กับเป็นทอง” คือ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”..แต่นับมีการ“ผูกขาด” คิด“ปฏิวัติ”กันมา.. แผ่นดินทองนี้ “เหมือนล่มสลาย”
การพัฒนา“ระบบชลประทาน” เพื่อหา“น้ำเข้านา” และไปสู่“เรือกสวน”ของเกษตรกรถือเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งนัก
แต่เหมือน“ถูกตัดตอน-ทอนงบประมาณ”ไป..หากเรามี“ชลประทาน” ถึงทุกตารางนิ้วนั้น เราจะเจริญกันไม่หยุด
“ไทยเรา”ถูกยกย่องให้เป็น“เมืองเกษตร-รับการอัพเกรด”ขึ้นเป็น“ครัวโลก” แต่กลับขาดน้ำในการผลิตพืชผล นี่คือสิ่งจริง
ถ้าเราเอา“งบประมาณ” ไปทุ่มสร้าง“ระบบชลประทาน”อย่างครบวงจร-แก้ความเดือดร้อนของเกษตรกรได้แน่นอน
ความเป็น“เจ้าโลก”ไม่ต้องมีอาวุธเกินพิกัดหรอก แค่มี“เครื่องบิน-รถถัง”พอประมาณ ไว้ป้องกันประเทศก็พอ
สิ้นปีนี้เรา“ส่งออกข้าวได้ ๑๐ ล้านตัน” และปีหน้าส่งออกข้าวได้มากกว่านี้ “กระเป๋าที่แฟ่บ”ก็จะฟูฟองขึ้นมา
“เมืองเกษตรกรรม” ตั้งแต่“บรรพบุคคลไทย” แต่ไม่ใส่ใจ“สร้างชลประทาน” ปูพรมกันทั้งประเทศ
ได้ระบบชลประทาน..“ชาวนาไทยสำราญ” เศรษฐกิจไทยยั่งยืนนาน คิดให้เป็นบ้างเหอะ มนุษย์ในกรมกอง
“กะพรุนไฟ”