24 ตุลาคม 2024

ถึงบางอ้อ คงต้องพากัน“เก็ท” ว่าท่านอ่านเกมขาด..มิใช่เป็น“ขุนศึกเกาะขอบโต๊ะ”เหมือนบางคนนินทา แต่ท่านมี“สายตายาวไกล” ที่จะอยู่ใน“ศูนย์กลางแห่งอำนาจ”กันอย่างชั่วฟ้าดินสลาย

วันนี้ขอซูฮก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ทบ. รองนายกฯ รมว.กลาโหม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

เป็น“หนึ่งในตองอู”อย่างแท้จริง..มิใช่เป็นดังคำขาน ว่าเป็น“ตือเซียม” ไร้ประสิทธิภาพด้านความคิด

หลังครบโควตา-หมดวีซ่า ในฐานะ“ประมุขหมู่ตึกธงเขียว” ท่านยังคงคิดที่จะ“ต่อยอด” อยู่ในฐานอำนาจต่อไป

ส่งสหายสนิท เพื่อนร่วมเรียน“วปอ.”รุ่นเดียวกัน..อย่าง“ท่านสุชน ชาลีเครือ” อดีตประธานวุฒิสภาฯ โดยเป็นการรับไม้ต่อจากการที่“พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร” ท่านได้“ถอนสมอ” ลาออกแล้วกลับมาสู้ใหม่..

เมื่อมีการโหวต“ประมุขสภาฯสูง” ผล “สุชน ชาลีเครือ” ครูประชาบาลบ้านนอกแห่งแดนชัยภูมิ สลับเบอร์ขึ้นมาใหญ่แทน

ท่านชนะโหวตท่วมท้น เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ได้คะแนนล้นหลามถึง ๙๙ เสียง เป็นชัยที่ทำให้ “พล.ต. มนูญกฤต”แพ้ราบพนาสูร ได้เสียงแค่“๕๙ คะแนน”เท่านั้น

ครูประชาบาล อย่าง“ท่านสุชน”นั้นต้องบอกกันว่า “คอนเนกชั่น”ไม่ธรรมดา

มีเครดิต-ติดตัวไม่ใช่เล่น..เพราะ “พล.อ.ประวิตร” ยังฝากไข้-ได้เจ็บ กันอย่างสบาย

โดยให้เป็น“นกพิราบขาว” นำการ“สื่อสาร”ไปยัง“ทักษิณ ชินวัตร” เพื่อให้สนับสนุนตนเองให้เป็น“ประธาน ปปช.”

“องค์กรอิสระ”แห่งนี้ มีอำนาจครอบจักรวาล-สะท้านแผ่นดิน เจ็ดคาบสมุทร ใครต่างก็รู้ เพราะว่ามีอำนาจ“ชี้นกเป็นนก-ชี้ไม้เป็นไม้” เรียกว่าใหญ่คับแข้ง-คับขา มากเลยล่ะท่านผู้ชม

แต่ทว่าการเชื่อมสัมพันธ์ที่ผ่าน “ทูตเสรีภาพ”ทาง“ท่านสุชน”นั้น.. ได้รับการ“ปฏิเสธ-เบ็ดเสร็จ”จาก“ทักษิณ”

โดย“ทักษิณ”ไม่อารัมภบท พูดมากให้เปลืองเนื้อความ แจ้งเหตุผลไปสั้นๆ และง่ายๆ..ว่า..“ทหารจะไปเป็นประธาน ปปช. รู้กฎหมายหรือ” ตนพูดไปแค่นี้ พอเขารู้เลยโกรธตน

“ทักษิณ”แย้มด้วยว่าจนวันนี้ “ก็ไม่ได้คุยกัน แล้วทำไมตนต้องไปคุยกับเขา แล้วหลังจากนั้นตนก็โดนแทงตลอด”

แม้นว่า“ความหวัง”ของ“พล.อ.ประวิตร” จะเหินเวหาขึ้นไปเป็น“ประธาน ปปช.”ไม่สมใจนึกบางลำพู

แต่ท้ายที่สุด “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ผู้เป็นเสมือนกับ“กล่องดวงใจ”ของ“พล.อ.ประวิตร” ก็สร้างฝันที่เป็นจริง

เพราะอดีตท่านเป็น“เลขาฯหน้าห้อง” อยู่กับ“พล.อ.ประวิตร” นับได้ว่าเป็นบุคคลที่ตัวติดกันยิ่งกว่าตังเมเสียอีก

ได้ก้าวขึ้นมาเป็น“ประธาน ปปช.” เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ..หลังจากไร้เงา“ทักษิณ” ต้องหนีภัยไปอยู่แดนไกล

“ท่านวัชรพล” มีตำแหน่งก่อนหน้านี้ “ใหญ่มันส์ยกร่อง”มิใช่เบา..เป็น“กรรมการในคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ตามคำสั่งสำนักนายกฯที่ ๑๕๙/๕๗

เป็น“กระบี่ข้างกาย” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ของ“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” สมัย“รัฐบาลประยุทธ์”

นับเป็นเรื่องน่ายินดี ที่บุคคลผู้มีความสามารถได้ก้าวมาเติบโตในตำแหน่งสูงสุดของ“ปปช.” ถึงมีคนแอบอิจฉา ก็ตามที เพราะอำนาจตรงนี้ ช่าง“เต็มไม้-เต็มมือ” เหลือกำลังยิ่งนัก

ฉะนั้น,ใครอย่ามองว่า “พล.อ.ประวิตร”เป็นนักรบ-นักบู๊ มิได้เป็น“จอมบุ๋น”ผู้ปราดเปรื่อง-ด้วยเรื่องสมอง คงต้องคิดอ่าน มองท่านใหม่ เสียให้ทะลุกันเสียหน่อย

การไปขอแรงหนุนจาก“ทักษิณ”ให้เป็น“ประธาน ปปช.” เพราะอ่านขาดว่า อำนาจตรงนี้จะเป็น“เสาหลักแห่งที่ ๔”

ที่มีอำนาจท่วมท้น อาจเหนือกว่า“ฝ่ายบริหาร-ฝ่ายนิติบัญญัติ-ฝ่ายตุลาการ” ใน“เสาหลัก ๓ เสา”ของยุคประชาธิปไตย

ถึงวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “องค์กรอิสระ”อย่าง“ปปช.” เปี่ยมขีดสามารถเต็มพาวเวอร์ เล่นงาน“นักการเมือง”ได้ชะงัด

ซึ่งถ้าเป็นเมืองผู้ดี ประเทศอังกฤษแล้ว จะไม่ยินยอมให้“ข้าราชการเกษียณ”ที่อยู่ในอำนาจ“จนก้นกบด้าน” ก้าวขึ้นมาสู่“อำนาจอื่น”กันอย่างทันที…เขาต้อง“เว้นวรรค-พักการดำรงตำแหน่ง” เอาไว้เสียก่อนสัก ๕ ปี

เพื่อที่จะ“ละลายพฤติกรรม”ให้หลุดพ้นไปจากอำนาจนั้น..เพื่อไม่ให้ใช้“อำนาจเก่า”มาเสริม“บารมีใหม่”

ซึ่ง“ประเทศไทย”ควรที่จะนำกฎนี้มาใช้..มิเช่นนั้น “ข้าราชการหน้าเดิมๆ” ก็เสริมเขี้ยวเล็บมาอยู่“องค์อิสระ”กันเต็มพรืด

เราต้องได้คนหน้าใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์ทำเพื่อประเทศ เข้ามาบริหารและปกครองอย่างแท้จริง

ได้แต่พวกหน้าขึ้นสนิม.. “พวกนี้ก็เข้ามาตีขิม” แต่จิ้มอะไร ก็ได้ดังหวังกันมิใช่หรือ??

“กะพรุนไฟ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *