นักร้อง-ต้องไม่หมองมัว
ตัวเองทั้งสกปรก แต่ยกตัวเองดีล้ำค่า ทั้งที่เป็น“ฝุ่นใต้เกือก” แต่มี“ความเสือก”กันตลอดเวลา
ก้อ, “นักร้อง”ที่มีพฤติการณ์“โสมม” อยู่กับ“อาจมแห่งความเคียดแค้น”กันอยู่ทุกเมื่อเวลา
ปากมันพร่ำร่ำร้องว่าทำเพื่อประโยชน์ของชาติ และบ้านเมือง เพื่อให้“กฎหมาย”เป็นความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถูกเหยียบย่ำ
ด้วย “ประเทศไทย”อยู่ใน“ระบบกล่าวหา” ตั้งโจทย์-กล่าวโทษคนอื่นร่ำไรอย่างเป็นกมลสันดานที่แก้ไม่ได้แก่คนพวกนี้
มันช่างเป็น“อันธพาล-มารแผ่นดิน”โดยแท้ กล่าวเช่นนั้นก็ไม่น่าจะผิด “พวกนี้”ก็ตั้งหน้า-ตั้งตา เพื่อที่จะ“ร้องเรียน”กันไปทุกเรื่อง
เป็นการร้องเรียน“ยิบย่อย” เรื่องไร้สาระ มโนสาเร่ มันก็สวมวิญญาณเป็น“นักร้อง” ร้องกัน“ตั้งแต่สากกะเบือ ยันเรือรบ” ทำให้เสียโอกาสของประเทศ ต้องถูก“ฉุดรั้ง-พังระเนระนาด” จนถอยหลังกันมาสุดกู่
จากที่ไทยเคยเป็น“เบอร์หนึ่ง” ชิงความเป็น“เจ้าธุรกิจ” ที่เบียด-เสียดไหล่กับ“ประเทศสิงคโปร์” สิงโตพ่นน้ำ กันมานั้น เรากลายเป็นประเทศที่“ตกเทรนด์” เบนเข็มมาอยู่กลุ่มโซนท้ายๆของอาเซียน
เดินเตาะแตะทรงกาย “จะล้มแผละ” ขยับขาก้าวเดิน ก็คะมำ-หน้าคว่ำ ไปไหนไม่ได้เสียที
กลายเป็น“ประเทศด้อยพัฒนา” ไม่เจริญ ล้าหลัง ตามดมกลิ่น“ความเจริญ”ของชาติต่างๆไปอย่างหน้าเสียดาย
เราอยู่ในแถว-เรียงอยู่ในแนว ที่เสมือนกลายเป็น“ประเทศที่โลกลืม” อยู่ในหมวดชาติที่ล้มเหลวอย่างแรง เหมือนกับ“พม่า-ลาว-เขมร” เราตกต่ำลงมาอยู่ในแถบเขตพื้นที่ในจุดนี้แล้ว
แทนที่คนไทย-จะใจนิ่ง สนับสนุน“นายกรัฐมนตรี”ที่มาจาก “ประชาธิปไตย” มันไม่คิดทำ-สร้างแต่ตำบอน กันอยู่นั่นแหละ
มัน“สร้างเหตุ-เป็นเปรต”ที่สร้างเรื่องกันได้ตลอดเวลา
ถ้าคิดว่า“อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็น“เจ้าหน้าที่รัฐ” ทำไม“ไม่ตามกัด”จัดการเล่นงานเธอตั้งแต่หัววัน
พอได้รับฉันทามติ จาก“สภาผู้แทนราษฎร” ให้เป็น“นายกรัฐมนตรี” ก็“หยิบเรื่องเน่า-ของเก่า”ขึ้นมาฟันกันฉับ ๆ
หรือว่าถ้า“อุ๊งอิ๊ง”ไม่ได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” เรื่องนี้น่าจะเป็น“คลื่นกระทบฝั่ง”ที่ได้เงียบไปกับผืนแห่งท้องทะเล
หากคิดว่า“ทำผิด-ติดเทอร์โบ้” ควรเล่นงานเธอเสียให้จมเขี้ยว ตามกำพืดของชอบเห่าหอน
การเรียกร้องของ “นักร้อง” ที่คอยกวนน้ำให้ขุ่น ไม่ให้“ประเทศไทย”เดินหน้าได้เสียที น่าจะมี“ขีดจำกัด” ว่าผู้ที่เป็นนักร้องนั้น ควรมี“พฤติการณ์ที่สะอาด” ไม่ใช่สกปรกจัด น่ารังเกียจ จนคนไม่คบค้าด้วย
การเป็น“ผู้ร้อง” ทำตัวเป็น“พยานนั้น”…จุดเริ่มแรก ต้องดูว่าคนร้องนั้น“ดี-ชั่ว-ตัว หมอง”กันแค่ไหนมาก่อนหรือไม่
ไม่ใช่ให้คนที่มี“คดีท่วมศาล” มาเป็นมาร เพื่อบั่นทอนประเทศชาติกันอยู่เช่นนี้
“ก่อนจะสตาร์ท”ตั้งต้นลงมือสอบพฤติกรรมของผู้ที่“ถูกร้องเรียน” กันนั้น…เราต้องมา“เจียระไน” เกลาลงไปถึงรากแก่นแห่งผู้ที่มาร้องเรียนนั้น มีพฤติการณ์“ที่บริสุทธิ์”เป็นที่ตั้งกันหรือเปล่า
ที่สำคัญ “เขาผู้นั้น”จะต้องเป็น“พลังแห่งแผ่นดิน” ทำงานเพื่อชาติและแผ่นดินกันมาอย่างหนักแน่น
ไม่ใช่ให้“คนเลว” ขี้โกง ไม่ซื่อสัตย์ มี“เบื้องหลังแอบแฝง” ซ่อนเร้น ปิดบัง มายื่น ก็รับเรื่องเขาเอาไปพิจารณา ทำกันอีหรอบนี้ “คนชั่ว”จึงชูหัวเป็นใหญ่กันมาได้หลายยุค-หลายสมัย
ใน“สหรัฐอเมริกา”นั้น..ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ เอฟบีไอ เชิญใครเขามาเป็นพยาน ถึงมีหลักฐานมัดคนผิดจนดิ้นไม่หลุด
แต่หากว่า“พยานผู้นั้น” มีการเห็นหน้า“ผู้ต้องสงสัย” ขณะสวมกุญแจมือบนสถานีตำรวจ หรือพื้นที่เอฟบีไอ พยานปากนั้นก็จะกลายเป็น“ไร้น้ำหนัก” ขาดความชอบธรรมที่จะใช้เป็น“พยานปากเอก”เลยจะบอกให้..
แต่กับประเทศไทย “นักร้อง”ที่ร้องเสียงหลงเป็น“อีแร้ง” ลอยหน้า-ลอยตา-เที่ยวร้องเขาไปทั่ว
ทั้งที่มี“คดีติดตัว” และบางคน“ถูกพิพากษา”ให้จำคุก แต่“ใช้เงินประกันตัว”กันออกมา
“นักร้อง”พรรค์นี้ไม่ควรที่จะไปให้ค่า ในการ“ร้องเรียนคนอื่น”มิใช่หรือ?
เพราะให้เกียรติคนชั่วที่มาร้อง..“ประเทศเราจึงเสียโอกาสทอง” สะดุดหงายท้อง เพราะพวกปากนรกนี้นี่ไง
“กะพรุนไฟ”