23 ตุลาคม 2024

เป็น“เจ้าวาทะกรรม” นำคำพูด“มายำกัน”อย่างไร้น้ำยาเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็น“พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาธิปัตย์” กระทั่ง“พรรคประชาชน”ที่แพ้ซ้ำรอย “ชาวบ้าน”ถอยหลังไม่เล่นกับพรรคนี้แล้ว

นับแต่เลือกตั้งปี ๖๖ หลังจากนั้น“คะแนนตก” ชกสนามเลือกตั้งใหม่ก็แพhกราวกรูดสุดจะบรรยาย

ล่าสุดได้มีการ“ยกทัพหลวง” อีก“ทัพหน้า”และ“ทัพหลัง”กันไปเต็มอัตราชุดใหญ่คอมโบ้ “๓ ท.”ไปพร้อมหน้ากันอย่างไม่ตกหล่น จนคิดกันไปว่าเมืองโอ่ง“ราดรี”จะกำชัยได้ชัยชนะ สนามเลือกตั้ง“อบจ.”กับเขาเสียที

แต่แล้วก็“กินแห้ว” ไม่“สมหวัง”ดังราคาคุย ที่เกทับ-ปลับแหลกพรรคอื่นอย่างไม่เห็นหัวเขาเลย แต่“ธนาธร-ทิมพิธา-เท้ง”ก็เจ๊งไม่เป็นท่า แพ้กลับมาหน้าเหลือ๒ นิ้วกับอีก ๑ เซ็นต์

ยิ่งเห็นการ“อวดโอ่” คุยคำโต ดูแล้ว“พรรคประชาชน”กับ“พรรคประชาธิปัตย์” มี“ดีเอ็นเอ” ที่เหมือนกัน โดยมี“บล็อก-ลอกกันมา”จริง ๆ

ทั้งที่“ทุกพรรคการเมือง” ต่างเป็นคนไทยด้วยกัน..แต่ไฉน“๒ พรรคนี้” จึงมองพรรคอื่นเสมือนกับเขามิใช่เป็น“คนไทย”เลยแหละท่านผู้ชม

ไฉนถึงมีตรรกะนอกร่อง-นอกรอยไปได้..เห็นพฤติการณ์แล้ว ก็ยากจะทะลุ“ถุงมีชัย” ต้องโดนถูกคุมกำเนิด ชวนเป็น“แกนนำตั้งรัฐบาล”แน่ ๆ

ยิ่งเห็น“วาทะกรรม” ถ้อยคำ“นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย” อดีต สส.ตรัง ผู้มี“ชวน หลีกภัย”เป็นไอดอล กับความคิดของแกเต็มแก่ หรือว่ายัง“สลัดคราบ”ในการเป็น “กปปส.”ที่“คาบนกหวีด”ออกจากปาก ไปไม่ได้เสียที

การที่“รัฐบาลอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร ทะลายเส้นแบ่งระหว่าง“แดง-เหลือง-น้ำเงิน” ให้กลับมาเป็นคนไทย“เลือดสีเดียวกัน”มันผิดตรงไหน?..อย่ามาใช้เหตุผลในการ“แบ่งขั้วการเมือง” ให้มันเปลืองน้ำลายกันอยู่เลย

ถาม“นายสาทิตย์”กันหน่อยเหอะ..“ประชาธิปัตย์”ยุคอดีตตั้งตัวว่าเป็น“ขั้วที่ไม่สังวาส” ร่วมชายคากับ“ทหาร”ที่ถือปืนปฏิวัติ

แต่“ความจริง-ยิ่งกว่านิยาย” มีการจัดตั้ง“นายกรัฐมนตรี”ของ พรรคประชาธิปัตย์ที่มาจาก“ค่ายทหาร”

ถ้าวันนั้นไม่ใช่กรมกอง“ทหารราบที่ ๑” แถวหัวถนนวิภาวดี เชื่อเลยว่า“คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ไม่คว้าดาว-ก้าวไม่ถึง“นายกฯ”หรอก

“อดีต”เมื่อผ่านไปแล้ว เราจง“ก้าว”ไปกับวันข้างหน้า “วันแห่งอนาคต”จะดีกว่าไหม

“รัฐบาลอิ๊ง”นำทุกพรรคในหลายภาคส่วน เพื่อมาเป็น“พลังแผ่นดิน” ขับเคลื่อนพาชาติและประเทศอย่างเต็มฝีจักร

เพราะ“เห็นวิกฤต-ติดลบ” กับบางกลุ่ม-บางเหล่าที่ไปเป็นมือเป็นไม้ให้กับ“รัฐบาลเผด็จการ” จึงต้อง“รวมพลังสร้างชาติ” เพื่อให้“ประเทศ”กลับมาเข้มแข็ง “ประชาชน”อยู่ดี-กินดี อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี

เมื่อเขาเห็นว่า“พรรคประชาธิปัตย์”ในยุคผลัดใบ ที่มี“เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรค “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาฯพรรค มีศักยภาพล้นปรี่ที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาล เป็น“เนื้อเดียวกัน”อย่างไม่เลือกพรรค-เลือกขั้ว เหมือนอดีตแห่งความเจ็บปวดของผู้คนในชาติ

เอา“ประชาชนมาอ้าง-สร้างนิยายประโลมโลก” ว่าการเป็นรัฐบาลร่วมกันของ“ประชาธิปัตย์”และ“เพื่อไทย” เป็นการ“หักหลังประชาชน”

หนำซ้ำยังมา“ทำปากแจ๋ว” ส่งเสียงแจ้วๆไม่เข้าท่า-เข้าทางไปโน่นอีก…นี่เป็นการ “ข้ามขั้วมั่วซั่วกันไปหมด”

“เพื่อไทย”และ“ประชาธิปัตย์” เขามาจากประชาชน..ร่วมมือกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึง“ความซื่อสัตย์”ในการรับใช้ชาวบ้านกันอย่างเต็มร้อย

ไฉนถึงมองว่า“เป็นความเลวร้าย”..หักหลังประชาชนไปได้

แต่ไม่เคยมอง“ถึงอดีต” ตัวเองที่เข้าไปแนบแน่น-แอ่นสะโพก ร่วมมือกับ“ทหาร” ที่ตัวเองแฉถึงพฤติการณ์ว่าเป็น“ตัวร้ายแห่งประชาธิปไตย” แต่ก็เข้าไป“สมสู่-เป็นคู่สอง” กันอย่างไม่แคร์สายตาของใครทั้งสิ้น

“เพื่อไทย”และ“ประชาธิปัตย์” เขามีใจเป็นหนึ่ง-คิดถึงประชาชนเป็นที่สุด ไฉนถึงได้“ประณาม” เหยียบย่ำกันเกินความคิดเช่นนี้

“ประชาธิปัตย์”ที่ถูกตีแตก-แหลกไม่มีชิ้นดี ในยุค“ชวน หลีกภัย-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” เพราะ“ตั้งป้อม”คิดมากไปนี่แหละ

“ประชาชน”เขาหน่าย-ระอาหัวใจ เต็มทีกับ“พรรคการเมือง”ที่ตั้งการ์ดสูง-พยายามจูงคนไทยให้ไปผิดทิศ-ผิดทาง

ทั้งที่วันนี้ เขาอยาก“สามัคคี-ปรองดองกัน”..ไม่ใช่คิดแต่จะ“ห้ำหั่น-ให้แตกกัน”เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา

“ข้ามขั้วมั่วซั่วกันหมด” ก่อนจะสร้างวาทะกรรมอีหรอบนี้ หันไปดูเจ้าของ“ทฤษฎี” ใครที่เป็น“ต้นตำรับ”กันแน่

หยิบโยงกันมั่ว…“ยิ่งจะเห็นตัว”..ว่าใครข้ามขั้ว จนบ้านเมืองเละมาถึงวันนี้

“กะพรุนไฟ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *