กลุ่มอีลิท-คิดตั้งนายกฯ
“อักษรที่จารึกลงบนภูผา”..หาได้คงความชัดเจน-เด่นชัด อย่างมั่นคงเสมอไปที่ไหนกัน ผ่านวันเวลา ก็“ลางเลือน-เจือจาง” เพราะถูกกลืนและหายไปกับเดือนและปีที่ผันผ่าน..
เหมือนกับ“ความจริงที่มีหนึ่งเดียว” เที่ยวออกมาพูดพร่ำเพ้อพก-กระดกลิ้น โชว์ชิวหากันทุกวัน ย่อมที่จะ“คลายมนต์ขลัง”ยิ่งพูดเพื่อ“สร้างความเกลียดชัง”..ครั้งแล้วครั้งเล่า…
ความศักดิ์สิทธิ์ของ“ลิ้นที่ไม่มีกระดูก-ผูกแต่ใจเจ็บ” ย่อมเหมือนกับตัวอักษร-ย้อนกลับมาให้เด่นชัดอีกคงจะไม่ได้
เห็นบางคนออกมา“วาดน้ำลาย-ใส่ไคล้”ถล่ม“รัฐบาล”กันอย่างเป็นนิจสิน เพื่อให้ตนเอง“ดูสง่า-เข้าตาประชาชน” คนนั้นแหละ
ยิ่งทำให้“กำพืดโผล่-โม้คำโต”ทะลุกลางปล้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน.. สร้างแต่“จุดเดือด”ที่หมดค่าลงมาตลอด
ดูสิ,เขาช่าง“ใช้น้ำคำ-ย้ำน้ำลาย” ว่ากล่าวพล่อยๆ ว่าถ้ามีการ“ขายแผ่นดิน โกงชาติ จะออกมาสู้จนตัวตาย”
ถึงตอนนี้เขายังจะ“ไม่ตายจริง” แต่ประชาชนพากัน“ทอดทิ้ง” ไม่อิงต่อไปกับความคิดที่เขาเที่ยวได้พล่ามกันออกมา
ยังคิดว่าตัวเอง เป็นดุจดัง“เงาดาบแห่งแสงกระบี่”ที่ออกมากระหน่ำ ถึงอย่างไรก็ต้อง“ล้มคว่ำ”คนนั้นได้แน่
หลงอยู่ใน“ศักยภาพเดิม ๆ”ที่คิดว่ามีปากศักดิ์สิทธิ์ “ดึงเส้นผมเส้นเดียว”สะเทือนหนังหัวกันไปทั้งศีรษะ ยังคิดเช่นนี้ ทั้งที่หมดน้ำยาแล้ว
ต่อให้วันนี้ คิดจะออกมา“ไสเรือตามน้ำ” เพื่อให้ไปในทิศทางแห่งคลื่นธารา อย่างไรก็ต้องไร้ผลอยู่ดีนั่นแหละ
น่าเป็นอุทาหรณ์-สอนใจ “อดีตหัวหน้าม็อบ-แดงเลือดหมู” ที่ยัง“หลงอดีต-ติดกับภาพเก่าๆ” ว่าพูดสิ่งใด-ใครก็ต้องเชื่อ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ“ขาดอุดมการณ์” เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับเป็น“จิ้งจกที่เปลี่ยนสี”ก็ไม่ปาน..
ถ้าคนเราคิดทำ“เพื่อประชาชน”อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์-สภาพคงไม่เป็น“หัวหน้าม็อบที่โดดเดียว-เหี่ยวดูไม่จืด”เช่นนี้ดอก
ขณะที่คิดว่าตนเองยังเป็น“ราชสีห์”ที่พองขนอยู่..แท้ที่จริงแล้ว คือ“มูสิก” หนูตัวเหม็น ที่ใคร..ก็ไม่อยากเข้าใกล้
ถ้าเขายัง“ยึดหลัก-ปักธง”อยู่กับประชาชน ย่อมจะต้องเป็น“นกดี-ที่บินขึ้นสู่ที่สูง”ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่นี่ทำตัวจะเป็น“ดอกไม้”ที่ออกดอกเบ่งบานกันนอกฤดู..จึง“ทรุดโทรม” และ“เหี่ยวเฉา”ลงอย่างรวดเร็ว
คิดว่า “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง“แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นเหมือนกับ“ไม้ผุ-ทะลุทะลวง”ลงได้ง่าย เป็นเช่นนั้นที่ไหน เธอกลายเป็น“คอนกรีตผสมเหล็ก”ที่แน่นหนา ยากที่จะโค่นล้ม
เพราะเป็นการผสมระหว่าง“พรรคต่างพรรค-ที่ร่วมกัน”ได้ดี..จนกลายเป็น“เนื้อเดียว”ที่มั่นคง ใช้“ปูน หิน กรวด ทราย น้ำ” คลุกเคล้าเข้ากันจนมี“ผิวมวลรวม”เป็น“เกราะแก้วกำบังกาย” ทำให้“รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง”พังลงอย่างบางคนคิด
ยิ่งเห็น “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีใบบริสุทธิ์เปิดบ้านจันทร์ส่องหล้า รับการมาเยือนของ“เนวิน ชิดชอบ” เจ้าสำนักปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์ มี “อนุทิน ชาญวีรกุล” รองนายกฯ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หุ้นส่วน“แห่งพรรคค่ายน้ำเงิน”เกี่ยวก้อยมาด้วยกัน
ไม่มีทางหรอก ที่ “แพทองธาร” จะเป็น“คุณย่านากพระโขนง” จะมา“หมดโควตา-สิ้นวีซ่า” แค่เป็นรัฐบาลได้เดือนเดียว
มี“เต้าหยิน” และ“เล่าฮู” ผู้อาวุโส“๓ เสาหลัก”.. ทั้ง “ทักษิณ-อนุทิน-เนวิน”เป็นแบ็คอยู่ข้างหลังให้ จึงเป็นเหมือนกับ“ไข่ในหิน” ที่ได้รับการดูแล ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดีจาก “๓ เกจิการเมืองชั้นครู”
เหมือนว่า “การออกโรง”ของ“ไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาพรรคพลังประชารัฐ จะมา“ผิดวิก”เอาเสียมากกว่า..ที่ออกมา “จำนรรจา-ว่าเป็นตุเป็นตะ”… “พรรคแกนนำรัฐบาลพรรคหนึ่ง อาจจะล่มสลาย-ภายในวันที่ ๑๐ ตุลาฯ ๖๗”
โปรดรับฟังทาง“โสตประสาทหู”กันได้ดีๆ ในช่วงเช้า ระหว่าง ๗ โมงเช้าจะถึง“นาทีพิฆาต-วาสนาหดจู๋” กันอย่างแน่นอน
เป็นการ“โก่งหน้าไม้-ไร้เหตุผล” จนใครก็เง็ง-เล็งเหตุผลล่มสลายกันไม่ออก
ถ้า“พรรคเพื่อไทย” ใครเขาก็รู้อยู่เต็มอก ว่าเป็น“พรรคแกนนำรัฐบาลนี้” ทำไม“นายไพบูลย์”ไม่บ่งชี้ เสียให้ชัดเจนล่ะ
อย่าได้ทำตัวเป็น“อาจารย์ควีน มหาเลียบ” หมอดูเรียกค่าดูแพงมหาโหด ชั่วโมงละ 5,000 บาท จนคนลงแขก-ด่าแหลกไปทั้งเมือง
ถ้าแน่จริงต้องเปิดกันออกมาให้จะๆ เหมือนกับ“อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม” พูดอะไรให้มันแตกฉาน อย่ามาอ้ำอึ้ง
“แกนนำรัฐบาลพรรคหนึ่ง อาจจะล่มสลาย” ออกมาโปรย-โรยคำปริศนาเช่นนี้ ดูจะ“ไร้ค่า-หาสาระไม่ได้จริง ๆ”
นี่ก็มาผสมโรง-โก่งคอขันกันไปวันๆ ว่า “กลุ่มอีลิท”ชั้นอภิสิทธิ์ชั้นกลุ่มคนรวย เขาร่วมด้วย-ช่วยกันที่จะให้“วิรไท สันติประภพ” อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ก้าวมาเป็น“นายกรัฐมนตรีคนนอก”ตามที่“รัฐธรรมนูญมีชัย”เปิดทางไว้
ในเมื่อ“แพทองธาร”เป็นรัฐบาลที่มาจาก“ประชาชน-คนทั้งประเทศ” แล้ว“กลุ่มอีลิท-คิดแหกด่านอะไร” จึงไปคว้า“วิรไท”มาเชิดฉิ่งเป็น “นายกฯของคนรวย”เพียงแค่ขยิบมือ
จะรวย-จะจน ก็“จ่ายภาษี”ครือ ๆ กันนั่นแหละ จะมาตั้ง“นายกฯ”เพื่อ“คนรวย” มันเข้าท่า-เข้าทางนักหรือ?
เศรษฐีเที่ยวใช้อภิสิทธิ์… ยิ่งคิดยิ่งผิด”..ติดดักจะเอาตัวเองไม่รอดไปทั้งกลุ่มอีลิท ได้นะครับ
“กะพรุนไฟ”
