24 ตุลาคม 2024

บทเรียนตำรวจไทย คดีสลายม็อบปี’63 ศาลชี้ชัดรุนแรงเกินเหตุ

0

กรณี เพจ The Story of แม่หญิงไฟ้ท์ ได้โพสต์เนื้อหาว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม เวลา 09.30 น. ห้องพิจารณาที่ 611 ศาลแพ่ง (รัชดา) นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่ผู้เสียหาย และผู้หญิง รวมทั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งและเรียกค่าเสียหายกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หลังจากได้ผลกระทบจากการสลายการชุมนุมที่หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พ.ย.63

โดยมี อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ สมาชิกคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ (UN Human Rights Expert- WGEID) ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทก์ที่ยื่นฟ้องคดีครั้งนี้ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ – ทนายความจากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (Enlaw) และเจ้าหน้าที่จาก Protection International (PI) เดินทางเข้ารับฟังคำพิพากษา

ศาลแพ่งมีคำพิพากษาว่า แม้จะปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามฝ่าแนวกั้นรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่รัศมี 50 เมตร ซึ่งเป็นเขตหวงห้าม ประกอบกับไม่ปรากฏว่ามีผู้แจ้งการชุมนุม การชุมนุมดังกล่าวจึงเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ตามแผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะฯ กำหนดให้เจ้าพนักงานฯใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนเท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน เมื่อผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังคงชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ การที่เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำผสมสารเคมีและแก๊สน้ำตาที่ไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ และไม่ประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุมได้ทราบ รวมถึงผลกระทบที่จะได้รับก่อน

การกระทำของเจ้าหน้าที่จึงไม่ได้ปฏิบัติตามแผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะฯ ไม่ได้สัดส่วนต่อความรุนแรง เป็นกระทำข้ามขั้นตอนที่กำหนด เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นต่อผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมและประชาชนที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมแต่อยู่บริเวณดังกล่าวรับความเสียหายด้วย และการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการใช้กำลังเกินความจำเป็น อันเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุมและสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย

ศาลจึงพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการทำละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุมและสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายต่อโจทก์ ดังต่อไปนี้ โดยโจทก์ที่ 4 จำนวน 58,968 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 126,775 บาท โจทก์ที่ 6 จำนวน 22,000 บาท โจทก์ที่ 8 จำนวน 50,000 บาท และโจทก์ที่ 9 จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง

ส่วนโจทก์ที่ 1 ถูกฟ้องตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นแกนนำ/ผู้แทนของผู้ชุมนุม แต่ไม่สามารถควบคุมการชุมนุมได้ จึงเป็นผู้มีส่วนให้เกิดเหตุละเมิด ไม่อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ และโจทก์ที่ 2-3 และ 7 นั้นไม่ปรากฏหลักฐานว่าอยู่ในเหตุการณ์การชุมนุมและหลักฐานการรักษาพยาบาล ไม่อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนได้

ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยยุติการปิดกั้นขัดขวางการใช้เสรีภาพในการชุมนุมด้วยการตั้งวางเครื่องกีดขวางและกำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานในการดูแลการชุมนุมสาธารณะให้เป็นไปตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วนนั้น การกำหนดดังกล่าวเป็นอำนาจของหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศาลไม่มีอำนาจก้าวล่วงฝ่ายบริหารได้ ทั้งนี้ ศาลยังได้ยกฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ด้วย

ทั้งนี้ นางอังคณา กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาของศาล ว่า ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาของศาล เห็นว่าคำพิพากษาของศาลมีความก้าวหน้า โดยมีการอ้างถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี อย่างไรก็ดี ยังมีข้อห่วงกังวล และไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ศาลมีความเห็นว่า ในการชุมนุมหากผู้จัดการชุมนุมไม่แจ้งเจ้าพนักงาน ถือว่าการชุมนุมนั้น เป็นการชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในขณะที่หลักสิทธิมนุษยชนยึดถือว่าการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครอง โดยรัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ แต่หากการชุมนุมที่มีการใช้อาวุธ หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง การชุมนุม ในลักษณะนี้จึงถือเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบและไม่เป็นสิทธิของผู้ชุมนุม ซึ่งรับรองโดยกฎหมายและหลักการสิทธิมนุษยชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สมควรหยิบยกมาถกแถลงกันต่อไป

ส่วนเรื่องการชดใช้หรือเยียวยาความเสียหาย ศาลมีคำพิพากษาให้ชดใช้และเยียวยาความเสียหายโดยเฉพาะคนที่มีหลักฐานการรักษาพยาบาล แต่ในส่วนของคนที่ไม่ได้มีหลักฐานนั้น บางคนอาจจะไม่สะดวกไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและมีใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐาน โดยที่อาจซื้อยามากินเอง กรณีเช่นนี้คงต้องมาหารือว่าจะทำอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นว่าศาลเองยังไม่ได้พิจารณาไปถึง คือ การชดเชยหรือเยียวยาความเสียหายทางด้านจิตใจ เช่น กรณีของเด็กที่ได้รับผลกระทบ โดยที่พ่อของเด็กให้การต่อศาลว่าเด็กยังมีความหวาดกลัวต่อรถดับเพลิง ซึ่งศาลอาจจะยังมองไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะผลกระทบหรือความเสียหายทางด้านจิตใจนั้นจะติดไปในใจไปอีกนานโดยเฉพาะกับเด็กที่จะทำให้เกิดความหวาดกลัว แม้แต่เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่เมื่อเห็นรถฉีดน้ำของตำรวจเรายังมีความรู้สึกถึงความกังวลหรือกลัว

ส่วนตัวต้องขอบคุณศาลที่มีคำพิพากษาว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ้างว่ามีผู้ชุมนุมจะทำลายเครื่องกีดขวาง ศาลก็มองว่าการทำลายเครื่องกีดขวางเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อย หากตำรวจพบเห็นว่ามีการทำลายเครื่องกีดขวางนั้นก็สามารถดำเนินการจับกุมได้เนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า แทนที่จะเหมารวมว่าผู้ชุมนุมทุกคนชุมนุมโดยไม่สงบ และใช้การปราบปรามด้วยความรุนแรงโดยการฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมี ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อบุคคล กลุ่มเปราะบาง รวมถึงผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมควรนำไปปรับปรุงในเรื่องการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกของบุคคลโดยการชุมนุมอย่างสงบ และยังมีหลายประเด็นที่สังคมควรที่จะเปิดกว้างที่จะนำคำพิพากษานี้มาถกแถลงและวิเคราะห์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของสังคม

สำหรับกรณีการชุมนุมสาธารณะที่เป็นคดีในครั้งนี้ จัดขึ้นในนามกลุ่มราษฎร เมื่อวันที่ 17 พ.ย.63 บริเวณใกล้กับอาคารรัฐสภา เพื่อร่วมติดตามการประชุมรัฐสภาในวาระการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7 ฉบับ และเรียกร้องให้รัฐสภาลงมติให้ความเห็นชอบรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขที่ประชาชนร่วมกันใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอกว่า 1 แสนรายชื่อ อันเป็นการใช้เสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรอง

แต่ในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับออกประกาศพื้นที่ห้ามชุมนุมในรัศมี 50 เมตร รอบรัฐสภา และทำการปิดกั้นถนนเส้นทางสัญจรในบริเวณรอบรัฐสภาด้วยเครื่องกีดขวางต่างๆ เพื่อสกัดกั้นผู้ชุมนุม ไม่ให้ผู้ฟ้องคดีและประชาชนใช้เสรีภาพในการชุมนุมหรือเดินทางผ่านเข้าออกบริเวณหน้ารัฐสภาได้ ทั้งยังมีการสลายการชุมนุมด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมี และใช้แก๊สน้ำตา โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและหลักการสากล จนเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีและประชาชนผู้ชุมนุมจำนวนมากถูกละเมิดเสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ และได้รับบาดเจ็บ มีอาการคัน แสบร้อน ผิวหนังมีแผลไหม้พุพอง ปวดอักเสบ แสบตา แสบคอ หายใจไม่ออก เกิดอาการแพ้และมีเลือดออกทางจมูก และบางรายถูกยิงโดยผู้ก่อเหตุไม่ทราบฝ่าย

ก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายร่วมกับทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนได้ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 26 มี.ค.64 แต่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาโดยเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาต่อศาลปกครองสูงสุด

ปัญหาความคลุมเครือของเขตอำนาจศาลดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีบางส่วนจำนวน 9 คน ตัดสินใจถอนฟ้องจากศาลปกครอง และยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นคดีใหม่ต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 12 พ.ย.64 ด้วยเหตุผลของอายุความ ซึ่งหากต้องการฟ้องคดีนี้ใหม่ต่อศาลยุติธรรม ต้องยื่นฟ้องภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากวันที่เกิดเหตุละเมิด สำหรับการฟ้องแพ่งในครั้งนี้เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่อเสรีภาพการชุมนุม และสิทธิในชีวิตและร่างกาย รักษาพยาบาล และขอให้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปิดกั้นขัดขวางและใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยไม่เป็นไปตามกฎหมายการชุมนุมสาธารณะ และหลักสากล

หัวใจสำคัญของการห้องร้องสำหรับคดีนี้ บางกอกทูเดย์ เห็นด้วยกับจุดยืน ที่ระบุใจความไว้อย่างชัดเจนว่า…

การยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งนั้นเพื่อยืนยันว่า การปิดกั้นขัดขวางการใช้เสรีภาพการชุมนุมและการใช้กำลังความรุนแรงต่อประชาชนผู้ชุมนุมตามอำเภอใจ เป็นการละเมิดต่อกฎหมาย และสิทธิมนุษยชนที่ต้องถูกตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรม ไม่ปล่อยให้กลายเป็นการพ้นผิดลอยนวล

ทั้งนี้เพื่อให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นได้รับการเยียวยา และเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปกป้องคุ้มครองการใช้เสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออกของประชาชนให้สามารถกระทำได้อย่างปลอดภัยตามที่รัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองให้การรับรอง

การที่ศาลมีคำพิพากษาออกมาในครั้งนี้ จึงกลายเป็นคำพิพากษาครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่จะยืนยันสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองให้กับประชาชน

ดังนั้น บางกอกทูเดย์ หวังให้กรณีคำพิพากษาในครั้งนี้ จะเป็นข้อเตือนใจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนี้ไปจะตระหนักว่า ในการทำตามคำสั่งหรือการบงการของรัฐบาลที่ไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชนตามหลักการประชาธิปไตย สุดท้ายที่ถูกทิ้งให้เป็นผู้ที่มือเปื้อนเลือดหรือเสื่อมเสีย ก็คือตำรวจที่ปฏิบัติการเท่านั้น ส่วนคนสั่งการที่แฝงตัวอยู่เบื้องหลัง มักจะหลุดรอดความรับผิดชอบตามกฎหมายได้ตลอด

แต่เชื่อเถอะคนเหล่านั้นรอดกฎหมายแต่ไม่รอดกฏแห่งกรรมอย่างแน่นอน

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *