นักร้องการเมืองคึกคักทันตา
ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา ว่านโยบายหาเสียงเรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
ประโยคนี้เองที่ทำให้บรรดานักร้องรีบชิงจังหวะเพื่อจะหยิบเอาประเด็นคำว่า เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ไปร้องต่อในทันที
ชิงออกสตาร์ทเร็วกว่าเพื่อน ก็เห็นจะเป็น เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่บอกเลยว่าพรุ่งนี้ไปร้องที่กกต.แน่ เพื่อให้ กกต.พิจารณาว่าจะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่
ขณะที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของพุทธะอิสระ ที่เป็นคนร้องจนนำมาสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ บอกว่าจะขอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยก่อน ถึงจะตัดสินใจว่าจะร้องต่ออีกหรือไม่
แว่วว่า จริงๆแล้วมีอีก 2-3 คน ที่แอบๆเล็งอยู่เหมือนกัน จะยกเว้นก็เห็นจะเป็น ศรีสุวรรณ จรรยา ที่ในขณะนี้ไม่ว่างพอที่จะไปร้องใครได้อีก
เพราะอยู่ระหว่างที่ต้องแก้ข้อกล่าวหาข่มขู่รีดเงินอธิบดีกรมข้าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่นเอง
เรื่องของบรรดานักร้องที่เกิดขึ้นมามากมายในยุคที่สังคมไทยแบ่งแยกแตกขั้ว แบ่งข้างกันอย่างรุนแรง ถือเป็นเรื่องที่สังคมไทยควรจะต้องพิจารณากันเสียที ว่า การไปร้องอะไรต่างๆนาๆในแต่ละครั้งนั้น มีเหตุมีผล มีประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมหรือไม่ เพียงใด
หรือว่า เป็นการร้องที่มีจุดหมายปลายทางที่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก
เพราะจุดหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาชีพนักร้องการเมือง ก็คือ นึกจะร้องก็ร้องไปได้เรื่อยๆ ถูกปัดตกไม่รับคำร้องก็ไม่ได้เสียหายอะไร หรือร้องแล้วสุดท้ายคำตัดสิน หรือคำวินิจฉัยออกมาไม่ได้เป็นไปตามคำร้อง ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอีกนั่นแหละ ไม่ถือว่าขาดทุนหรือเสียชื่อแต่อย่างใด
แต่เมื่อใดก็ตามที่คำร้องออกมามีผลตามที่ร้อง ก็สามารถใช้คุยโอ่ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงไปได้ตลอดชีวิต
นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย ในยุคแบ่งแยกแตกขั้วทางความคิดอย่างรุนแรง
อนาคตของบรรดานักร้องการเมืองจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสังคมไทยเองนั่นแหละ
ว่าจะเดินหน้า หรือย่ำเท้าอยู่กับที่
หนามกุหลาบ