24 ตุลาคม 2024

EP2 ตลาดรถยนต์ กับการแบ่งขั้วที่ชัดเจนของโตโยต้า

0

ถ้าใครติดตามข่าวเกี่ยวกับรถยนต์อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นกระแสข่าวมากมายออกมาในโลกอินเตอร์เน็ต มีทั้งกระแสที่เป็นเรื่องบวก และเรื่องลบ กับรถยนต์ไฟฟ้า โดยในอุตสาหกรรมรถยนต์ เริ่มมีการแบ่งขั้วชัดเจนขึ้น พูดง่ายๆก็คือมีการแบ่งขั้วระหว่าง ผู้ผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) และเครื่องยนต์ทางเลือกอื่นๆ (HEV, FCEF, PHEV) กับ ผู้ผลิตรถยนต์ที่มุ่งหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ที่ตอนนี้กำลังผันตัวเองมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ (BEV) ถ้าจะมองคู่ต่อกร ซึ่งมีวาทะกรรมกระทบกระแทกกันมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นค่ายรถยนต์ ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างโตโยต้า กับ ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง บีวายดี และ เทสลา ซึ่งในค่ายของรถยนต์ไฟฟ้าเอง ก็ยังมีมุมมองของตัวเองที่แตกต่างกัน ซึ่งวันนี้จะหยิบจับมาคุยกัน สรุปกันแบบง่ายๆ ส่วนใครจะคิดเห็นต่างจากผม อย่างไรนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เรามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

ผมขอเริ่มจากค่ายยักษ์ใหญ่ ของโลกอยากโตโยต้า ล่าสุดคุณ Akio Toyoda ประธานบริษัท Toyota Motor ออกมาทำนาย (อีกแล้ว) ว่า รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้า 100% หรือ BEV จะครองส่วนแบ่งการตลาดในระดับโลกได้สูงสุดเพียง 30% เท่านั้น! ที่เหลือจะเป็นรถยนต์ไฮบริด รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน และรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน มาลองดูมุมมองของแกกันหน่อยนะครับ คุณ Toyoda บอกว่า สาเหตุสำคัญ ที่แกคิดแบบนี้ ก็มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าประชากรโลกนับพันล้านคนยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้! ทำให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องยาก อีกทั้งราคาของรถยนต์ไฟฟ้าและอะไหล่ที่มีราคาแพง หากต้องเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าย่อมสร้างข้อจำกัดในการเดินทางแก่คนกลุ่มนี้

เอาละ เพื่อไขข้อข้องใจ เราลองมาดูข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าถึงระบบไฟฟ้าที่คุณ Toyoda แกพูดหน่อย ตามรายงาน “Tracking SDG 7 ประจำปี 2565” จากเวบไซท์ http://sdgmove.com ให้ข้อมูลไว้ว่ามีประชากรทั่วโลกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าประมาณ 773 ล้านคน ในขณะเดียวกัน มีรายงานบางฉบับที่ระบุว่าผู้คนกว่า 789 ล้านคนทั่วโลกยังไม่สามารถเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า (แต่ไม่ถึงพันล้านนะ) เราอาจจะนึกภาพไม่ออกว่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามาลองคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกดูกัน โดยตามข้อมูลจากสถิติของสหประชาชาติ ประชากรโลกในปี 2022 มีประมาณ 7.9 พันล้านคน ดังนั้น ประมาณ 9.8% ถึง 10% ของประชากรโลกไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้า อ้าว แล้ว ที่คุณ Toyoda พูด ว่า คนเป็นพันล้านคน เข้าไม่ถึงไฟฟ้า แกเอามาจากไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ BEV จะมีส่วนแบ่งได้แค่ไม่เกิน 30%? เพราะคนทั่วโลกมีถึงเกือบ 8 พันล้านคนนะ ผมก็เลยมองว่าสมมุติฐานแก แปลกๆ  นอกจากนั้นแล้ว ในปัจจุบันก็มีความพยายามในการขยายระบบไฟฟ้าให้ครอบคลุมมากขึ้น. ตัวอย่างเช่น โครงการ ‘Swarm grids’ ที่สนับสนุนโดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนในพื้นที่ยากจนเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้นทั่วโลก ซึ่งตัวเลขนี้นับวันมีแต่จะดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อราคาแผงโซล่าเซลล์ถูกลง แบตเตอรี่ก็ราคาถูกลง คนก็จะเข้าถึงไฟฟ้าได้มากขึ้น

หลายคนอาจสงสัย แล้วประเทศไทยละ? จากข้อมูลของ http://sdgs.nesdc.go.th สำหรับประเทศไทย ใครจะเชื่อว่า ประชากรสามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ถึง 99.8% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงมากเป็นอันดับต้นๆของโลก  และเป็นผลมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านพลังงาน ของทั้ง 3 การไฟฟ้าคือ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ที่เราชอบบ่นเขาว่า ไฟฟ้าแพงนี่แหละ

ส่วนเรื่องอะไหล่รถยนต์ไฟฟ้าราคาแพงนั้น ผมว่าเอาจริงๆ ส่วนที่แพงมากๆ ก็มีแค่ส่วนของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ซึ่งอนาคตก็จะมีทิศทางที่ถูกลง และคนทั่วไปสามารถซ่อมได้เองง่ายขึ้น ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้านั้น ผมว่า อึด ถึก ทน กว่าเครื่องยนต์สันดาปห์ แน่นอน และที่สำคัญ ประสิทธิภาพสูงกว่า สังเกตได้ง่ายๆคือไม่ร้อนจัด เพราะมีความสูญเสียจากความร้อนน้อยมาก ที่สำคัญคือมันไม่ปลอยมลพิษ ไม่มีท่อไอเสีย ไม่สร้าง PM2.5 หรือ PM10 ขณะทำงาน ซึ่งเรื่องนี้คุณ Toyoda ไม่ได้พูดถึงในการให้สัมภาษณ์เลยนะ

สิ่งที่ Toyoda พูดก็คือ เข้าเน้นย้ำความตั้งใจของบริษัทในการผลิตรถยนต์แบบต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า (ซึ่งก็ฟังดูดีนะครับ) พร้อมกล่าวว่า Toyota มีการกลยุทธ์มากมายพร้อมนำมาประยุกต์มาใช้ในทุกสถานการณ์ (ฟังดูพร้อมมาก)

สิ่งที่คุณ Toyoda ให้สัมภาษณ์ต่อก็คือ “Toyota ไม่ได้ล้าหลังในการแข่งขันพัฒนาแบตเตอรี่รถ EV อันดุเดือดของอุตสาหกรรมยานยนต์ในตอนนี้ อีกทั้งยังมีเอกสารเผยแพร่จากงานแถลงข่าวที่อวดอ้างว่า เพราะการมาของเทคโนโลยีไฮบริดเมื่อราว 20-30 ปีก่อนทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วเพียงแห่งเดียวที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 23%” (อ้างความสำเร็จในอดีต คล้ายๆ กับที่ Kodak, Nokia เคยทำเลยนะเนี่ยะ)

ประโยคเด็ดของการให้สัมภาษณ์สื่อครั้งนี้ของ Toyoda ก็คือ “ญี่ปุ่นมีวิถีทางของตัวเอง ผมไม่เชื่อว่าคำตอบที่ถูกต้องคือการเดินตามรอยตะวันตกทั้งหมดหรอกครับ” ช่างเป็นความมั่นใจในวิถีญี่ปุ่นเอามากๆ ว่าแต่ ท่าน CEO ท่านใหม่ของ Toyota ที่มาจาก LEXUS อย่างคุณ Koji Sato ท่านหายไปไหนแล้วครับ ทำไม่คุณ Toyoda ยังพูดเหมือนเดิมกับเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนที่จะอำลาตำแหน่ง CEO แล้วให้คุณ Koji มาแทน ซึ่งในวันนั้น เราคงคิดว่าจะได้เห็นบทบาทใหม่ๆ ของ Toyota ในตลาดรถยนต์โลก แต่สุดท้ายผู้มีอิทธิพลกับ Toyota ก็ต้องนามสกุล Toyoda สินะ และในปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงเชื่อมั่นในแนวทางเฉพาะของตัวเอง โดยก่อนหน้านี้ Toyota เปิดเผยว่ากำลังพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปแบบใหม่ ที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนมาเผาไหมแทนน้ำมัน และเตรียมบุกเบิกเทคโนโลยีเซลเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งไม่มีมลพิษ นั่นคือทิศทางของ Toyota มาหลายปีแล้ว และก็ยังไม่เคยเปลี่ยน

สิ่งทำให้ Toyota มั่นใจ คงเป็นเพราะ ยอดขายของ Toyota ที่ยังคงเติบโตสูงขึ้น ในปี 2023 โดยยอดขายรถยนต์ของ Toyota ทั่วโลกในปี 2023 ทำได้ 11.2 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 7.2% จากปีก่อนหน้า ทำให้เห็นว่า Toyota ยังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก) อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายได้ทั่วโลกของ Toyota ยังคงเป็นสัดส่วนน้อยมาก ไม่ถึง 1% ของยอดขายทั้งหมด (ซึ่งก็ไม่แปลกอีกเช่นกัน) เพราะ Toyota ไม่ได้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้ดีเพียงพอ ในราคาที่เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก

ย้อนมาดูที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2023 เราพบกว่า มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเกือบ 15 ล้านคัน มีการเติบโตอย่างมากถึง 35% ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 มีการเพิ่มขึ้นถึง 49% ซึ่งก็พอสรุปได้ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2023 มีการเติบโตอย่างมาก และเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ ถ้าจะมองแค่ตัวเลขของรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม (เอาทุกยี่ห้อมารวมกัน) ที่ขายได้ ก็มากกว่าจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ Toyota ขายได้แล้ว เพียงแต่ถ้าเทียบเป็นค่ายรถยนต์ Toyota ก็ยังเป็นเจ้าตลาดอันดับ 1 อยู่นั่นเอง

แต่ถ้ามองกันเฉพาะค่ายฝั่งรถยนต์ไฟฟ้า เราะเห็นชัดว่า BYD และ Tesla ผลัดกันเป็นผู้นำ จนสุดท้าย BYD ก็เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก (รวม PHEV ด้วย) แซงหน้า Tesla ไปได้ โดยถ้าจะมอง Top 5 ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุด ประจำปี 2023 ก็คือ

  1. BYD ขายได้ 1,704,360 คัน หรือ 21.1% ของตลาด
  2. Tesla ขายได้ 1,177,908 คัน หรือ 16.01% ของตลาด
  3. Gac Aion ขายได้ 308,769 คัน หรือ 6.88% ของตลาด
  4. BMW ขายได้ 300,466 คัน หรือ 5.86% ของตลาด
  5. Volkswagen ขายได้ 295,949 คัน หรือ 4.71% ของตลาด

จากข้อมูลทั้งหมดที่ผมหยิบจับมาเสนอ ผมคงไม่อาจสรุปเองได้ว่า ท่านประธาน Toyoda จะพูดถูกหรือไม่ แล้วเป้าหมายของโลก ที่ต้องการเดินหน้าไปสู่ Net Zero ไปกันอย่างไร ก็ในเมื่อตอนนี้โลกของยานยนต์ได้แบ่งเป็น 2 ขั้วที่ชัดเจนแล้ว คือ กลุ่มที่หนึ่ง นำโดยโตโยต้า ยังคงอนุรักษ์นิยม อยากให้คงเครื่องยนต์สันดาปเอาไว้ (เพราะ Supply Chain เขาใหญ่เกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงได้) แม้จะเอาไฮโดรเจนมาใช้แทนเชื้อเพลิงปกติ และพยายามจะไม่ปล่อยมลพิษ (ว่าแต่เราจะไปเติมไฮโดรเจนกันที่ไหนละ) และกลุ่มที่สอง ที่มุ่งหน้าสู่การเลิกผลิตเครื่องยนต์สันดาป และเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV ซึ่งเราก็ต้องติดตามต่อไป ว่าใครจะใหญ่กว่ากัน รอดูกันอีกทีปี 2030 ก็แล้วกัน

ใครสนใจเรื่องราวแบบนี้ ไปติดตามผมได้อีก 2 ช่องทางนะครับ ก็คือ Youtube: #TechAutoTalk by Dr.Ekarin และ TikTok: @ekarinv

เขียนโดย ดร.เอกรินทร์ วาสนาส่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *