‘ดร.สุชาติ’ ชี้ เงินเฟ้อต่ำเกินไป! ทำระบบเศรษฐกิจไม่เติบโต ประชาชนยากจน หนี้สินเพิ่มขึ้น
ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์มหภาค และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รายงานเงินเฟ้อเดือนมกราคม 2567 แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อรวม (headline inflation) ติดลบเป็นเดือนที่ 4 คือ -1.11% และเงินเฟ้อไม่รวมอาหารและพลังงาน (Core inflation) คือ +0.52 เงินเฟ้อทั้ง 2 แบบนั้นต่ำเกินไปมาก แสดงถึงระบบเศรษฐกิจมีปัญหา ไม่เจริญเติบโต ประชาชนมีรายได้ต่ำ
ดร.สุชาติ กล่าวว่า แบงก์ชาติเคยเสนอคณะรัฐมนตรีไว้ว่า จะตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อรวมในกรอบ 1-3% แต่วันนี้เงินเฟ้อทั้ง 2 แบบ ต่ำกว่ากรอบอย่างมาก น่าจะต้องมีผู้รับผิดชอบ ส่วนการที่รัฐบาลดูแลราคาน้ำมันและไฟฟ้านั้นเป็นเงินไม่มากเมื่อเทียบกับขนาด GDP จึงมีผลน้อยมากต่อเงินเฟ้อ แต่ดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ทำให้มีปริมาณเงินบาทน้อยเกินไปในระบบเศรษฐกิจนั้นมีผลอย่างมาก ซึ่งทำให้เงินเฟ้อต่ำเกินไป มีผลให้ GDP เติบโตต่ำ ประชาชนรายได้ต่ำ และยากจนลง
“เงินเฟ้อติดลบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมาเป็นเดือนที่ 4 แล้ว เป็นผลมาจากดอกเบี้ยแบงก์ชาติที่สูงเกินไปมาก ซึ่งทำให้การลงทุนเอกชน(I)ลดลง การบริโภคของประชาชน(C)ลดลง และการที่ค่าเงินบาทแข็งเกินไป ทำให้การส่งออกและท่องเที่ยว(X)น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งหมดทำให้ GDP เติบโตต่ำมานานมาก เพราะทั้ง 3 ตัวแปรบวกกันอยู่ในสมการ GDP = C+I+G+(X-M)”
ดร.สุชาติ กล่าวว่า แบงก์ชาติคงต้องลดดอกเบี้ย ต้องเพิ่มปริมาณเเงิน (QE) เพื่อทำให้ปริมาณเงินบาทเพิ่มขึ้น จึงจะทำให้ตัว C และ ตัว I เพิ่มขึ้น อีกทั้งปริมาณเงินบาทที่เพิ่มขึ้นยังทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง ซึ่งไปเพิ่มตัว X อีกด้วย ทั้ง 3 ตัวแปรจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ประเทศจึงจะมีอนาคต สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น แบงก์ชาติควรช่วยรัฐบาลฟื้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชนพ้นจากความทุกข์ยาก
“ในปี 2023 เงินเฟ้ออินโดนีเซีย = 2.9%, เวียดนาม = 3.4% ทำให้ทั้งอินโดนีเซียและเวียดนาม มีปริมาณเงินมากเพียงพอ, ทำให้ GDP เติบโตกว่า 5% อัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสมของไทยก็เช่นเดียวกัน ควรอยู่ระหว่าง 3-4% เงินเฟ้อที่ต่ำกว่า 3% จึงน่าจะต่ำเกินไป แบงค์ชาติไม่ควรใช้เรื่อง headline หรือ core inflation มาแก้ตัวเพราะทำให้ประชาชนสับสน เงินเฟ้อทั้ง 2 แบบนั้น ต่ำเกินไปทั้งคู่”ดร.สุชาติ กล่าว