23 ตุลาคม 2024

‘โจ๊ก-ต่อ-เต่า’ ใครแท้ใครเทียม เรื่องเศร้า สตง.

0

“เราทะเลาะกันเอง ชาวบ้านเขามอง เขาสมเพช”

ถือเป็นวรรคทองที่น่าสนใจ ที่ออกมาจากปากของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่สะท้อนถึงเรื่องน่าเศร้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันยังตามมาด้วยประโยคที่น่าสนใจอีกประโยคหนึ่งก็คือ “ทำไมไม่เอาเวลาไปปราบ Call Center ชาวบ้านเดือดร้อนเยอะแยะไปหมดแล้ว”

นี่คือความจริง ในยุคอยู่ยากของประชาชนคนไทย ที่โดน Call Center หลอกลวงดูดเงิน กล่าวได้เลยว่า คนไทยมากกว่า 80-90% ไม่มีใครที่ไม่เคยโดน Call Center โทรหา แต่ที่แย่ก็คือ เวลาไปแจ้งความ ตำรวจช่วยอะไรได้แค่ไหน กระตือรือร้นทำงานแค่ไหน ให้ ผบ.ตร. ไล่ลงมายันผู้กำกับรองผู้กำกับ ไปจนถึงร้อยเวรตามสถานีตำรวจ ถามใจตัวเองดูเองก็แล้วกันว่าดูแลประชาชนจริงจังแค่ไหน

ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับคำถามที่เกิดขึ้นในศึกสีกากีครั้งนี้ ว่า เปิดศึกฟาดฟันกันแบบนี้ ภาพลักษณ์ตำรวจไทยไม่มีเหลือแล้ว

มีคนในแวดวงสีกากีบอกว่า จริงๆเรื่องของบ่อนเรื่องของผลประโยชน์ในแวดวงคนสีกากี มีมาตลอด มีมาต่อเนื่อง แม้แต่คนในระดับบิ๊กๆบางคนในอดีตยังมีส่วนพัวพัน แต่ไม่เคยถึงขั้นเปิดศึกใส่กัน ปัญหาครั้งนี้จึงน่าจะมาจาก “ถ้าสุรเชษฐ์ขึ้นมาเป็นผบ.ตร.จะอยู่ยาวเกินไป เพราะอายุราชการ เหลืออยู่เยอะ คนอื่นๆจะตันกันหมด”

ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ยิ่งน่าสมเพชมากขึ้น เพราะเหตุผลไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของสังคมเลย แต่เพื่อประโยชน์ของตัวเองล้วนๆ

ถ้าใช่ นี่คือศึกสีกากีที่มาจากเหตุของการเลื่อยขาเก้าอี้ อย่างน่าทุเรศที่สุด

จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เท่าที่ดูอาการ งานนี้โจ๊กไม่หวานเจี๊ยบ แต่โจ๊ก สู้สุดชีวิต ออกมาให้สัมภาษณ์เปิดประเด็นเด็ดเป็นระยะ ทำให้ประชาชนคนดู ศึกสีกากีครั้งนี้ นอกจากฮือฮาแล้วยังคล้อยตามไปด้วยไม่น้อย อย่างการที่ออกมาตั้งคำถามว่าในเมื่อเป็นรองผบ.ตร. ที่ดูแลด้านความมั่นคง แล้วทำไมจึงไม่ได้คุมตำรวจไซเบอร์ เหมือนเช่นบรรดารองผบ.ตร.ที่ดูแลความมั่นคงในอดีต

เป็นเพราะตนเองมุ่งมั่นปราบปรามภัยไซเบอร์มากเกินไปใช่หรือไม่? มุ่งมั่นปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจังใช่หรือไม่? จึงทำให้ไม่ได้รับหน้าที่ให้ คุมตำรวจไซเบอร์เหมือนเช่นที่ผ่านๆมาในอดีต

นี่คือระเบิดลูกใหญ่ที่โยนใส่ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ที่ต้องตอบสังคมว่าเพราะอะไร ทำไมจึงปฏิบัติแตกต่างไปจากอดีต

และเพราะว่าเป็นศึกสีกากี คำถามที่เกิดขึ้นในใจของประชาชน ก็คือ ระหว่างพลตำรวจเอกต่อศักดิ์กับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ มีปัญหาขัดแย้งอะไรกันแน่

จะว่าเป็นเรื่องค้างคาใจตอนชิงตำแหน่งผบ.ตร.รอบที่ผ่านมา เรื่องมันก็น่าจะจบไปแล้วไม่ใช่หรือ เพราะแม้ไม่ใช่คนที่อาวุโสเป็นอันดับ 1 แต่พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ก็สามารถคว้าตั๋วขึ้นแท่นเป็นผบ.ตร.ได้สำเร็จ ปล่อยให้อาวุโสอันดับ 1 อันดับ 2 เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

ปกติของคนทั่วๆไป ความคาใจควรเป็นฝ่ายของผู้แพ้ไม่ใช่ผู้ชนะไม่ใช่หรือ ตรงนี้แหละที่ทำให้คนสงสัยว่า ระหว่าง “ต่อศักดิ์กับสุรเชษฐ์” มันอะไรกันนักหนา ถึงขนาดยอมให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพังไม่เป็นท่าแบบนี้

สุดท้าย พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องที่ไม่ให้ โจ๊ก คุมตำรวจไซเบอร์ เพราะต้องการจะจัดหน้างานใหม่ให้ตรงกับหน้างาน ระบุว่าหน้างานความมั่นคงไม่เกี่ยวกับพนันออนไลน์ เลยไม่ให้คุ

ส่วนเรื่องคดีที่เกิดขึ้นก็ให้ว่ากันตามพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนบอกว่ามีหลักฐาน แต่ถ้า ป.ป.ช.ซึ่งจะต้องเป็นผู้พิจารณา อาจจะเห็นว่าพยานหลักฐานไม่ได้มีถึงตัวโจ๊กก็ยุติ พนักงานสอบสวนก็ต้องยอมรับ

แต่ที่แปลกไม่น่าเชื่อก็คือ ขณะที่พลตำรวจเอกต่อศักดิ์พยายามประคองตัวลดความร้อนแรง แต่ พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ออกมาให้สัมภาษณ์เปิดเผยการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาเว็บพนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ แบบฟังออกว่ามุ่งเปิดศึกจริงๆ เพราะบอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย ผบ.ตร.เด่น และที่สำคัญได้เห็นหลักฐานต่างๆแล้วไม่สามารถปล่อยผ่านได้

เมื่อนักข่าวพยายามถามว่าพยานหลักฐานไปถึงตัวพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์หรือไม่? พลตำรวจตรีจรูญเกียรติใช้วิธีเลี่ยงไม่พูดชื่อใครตรงๆ แต่บอกว่าเงินราวๆ 300 ล้านนั้น ประมาณครึ่งหนึ่งไปถึงตัวใหญ่ ใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งใช้ทำงานและใช้ส่วนตัว ไปถึงญาติ ใครจำเส้นทางการเงินที่ถูกเปิดออกมาก่อนหน้านี้ตอนบุกบ้านโจ๊ก ก็รู้ทันทีว่าหมายถึงใคร แม้จะไม่เอ่ยชื่อตรงๆก็เถอะ

เสียงวิจารณ์จึงตามมาอื้ออึง นอกจากว่าจริงหรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่หลักฐานใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าหากหลักฐานชัดอย่างที่ระบุ ทำไมจึงกล้าๆกลัวๆ แถมออกแนวหน้าเศร้าเล่าเรื่อง

หรือว่ากรณีอย่างนี้ คดีที่ว่านี้ เข้าข่ายเป็นลักษณะคดีที่อยู่ในอำนาจของ DSI ตำรวจต้องส่งให้ DSI ดำเนินคดี คือควรให้เป็นคดีพิเศษไปเลย จะได้หยุดภาพศึกสีกากี

ที่สำคัญคำให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ เข้าข่ายที่สามารถทำให้สื่อเข้าใจผิดได้ เพราะแม้การพูดเป็นนัยยะ แต่ก็ชัดเจน

กระตุกกันตรงๆ กรณีตำรวจสรุปความเห็นส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ถือเป็นค่เพียงทำหนังสือแนะนำไปแค่นั้น ทาง ป.ป.ช.อาจจะไม่เอาตามความเห็นของตำรวจที่สอบสวนคดีก็ได้

ต้องถามกลับไปถึงพลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ว่าตามกฎหมาย ป.ป.ช. การที่ตำรวจทำหนังสือส่ง ป.ป.ช. ไปว่าเสนอให้กล่าวหาใครด้วยข้อหาอะไร ถือว่าเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาตามกฎหมาย ป.ป.ช.หรือเปล่า?

เพราะบรรดาคนที่แม่นกฎหมาย บอกตรงกันว่า ไม่ใช่ ต้องให้ ป.ป.ช.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง แสวงหาข้อเท็จจริงก่อน และต้องไต่สวนอีก ถ้าสุดท้าย ป.ป.ช.เห็นด้วยจึงจะแจ้งข้อกล่าวหา ให้ผู้ถูกกล่าวหามาแก้ข้อกล่าวหา เหมือนกับคดี biometrics ป.ป.ช.สอบอยู่ 5 ปี ถึงจะแจ้งข้อกล่าวหา

พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ต้องระวังว่าการให้สัมภาษณ์แบบนี้ ทำให้สื่อทำให้สังคมเข้าใจผิด นำไปสู่การทำให้โจ๊กได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่ แม้จะไม่เอ่ยชื่อตรงๆก็ตาม มีความเสี่ยงที่พึงระวัง ถ้าหากโจ๊ก หงุดหงิดหรืออยากให้บทเรียน เกิดฟ้องขึ้นมา เหมือนที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เคยฟ้อง ธาริต เพ็งดิษฐ์ เรื่องทำนองนี้แหละ ผลคือธาริตถูกตัดสินจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา

เรื่องการให้สัมภาษณ์ลักษณะนี้ ศาลฎีกาเคยลงโทษไว้เป็นแนวทางแล้วนะ เพราะศาลฎีกามองว่าการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานสอบสวน ฉะนั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ต้องแม่นกฎหมายมากกว่านี้

ต้องระวังทั้งเรื่องเอาความลับในคดีไปสัมภาษณ์ ทั้งเรื่องไม่แม่นกฎหมาย ป.ป.ช. ที่ไปเข้าใจเอาเองว่าการกล่าวหาของพนักงานสอบสวนเป็นการแจ้งข้อกล่าวหา

ที่พึงระวังอีกเรื่องคือการขยันให้สัมภาษณ์ ขยันออกรายการ ขยันโพสต์ วันก่อนก็เล่นบทคนดีที่ทำงานยาก บอกว่าจะทำให้ถึงที่สุด หากทำแล้วสุดท้ายอยู่ในอาชีพตำรวจไม่ได้ ก็ยินดีไป เพราะอยู่มา 30 ปีแล้ว ก็ถ้ามั่นใจจะกลัวอะไร แต่ถ้าไม่มั่นใจ หรือเพราะมีใบสั่งมา ก็เลยกล้าๆกลัวๆ อันนี้อันตรายแน่

ยิ่งบอกว่าเรื่องนี้สาวแล้วเป็นเหมือน ‘องค์กรลับ’ ขนาดนั้นเลย ไม่เพียงแค่วงของตำรวจเท่านั้น อ้างว่ามีนักข่าวมีสื่อเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ในกระบวนการด้วย เรื่องนี้วงการสื่อควรจะต้องตรวจสอบ สมาคมนักข่าว สภาการสื่อมวลชน ต้องตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อย่าเพิกเฉย เพราะนี่คือการกล่าวหาที่กระทบกับภาพลักษณ์ของนักข่าวโดยตรง

แต่ขณะเดียวกัน การขยันให้สัมภาษณ์แบบชี้นำ แบบปล่อยข่าว ก็เป็นการมุ่งใช้สื่อเป็นเครื่องมือด้วยหรือไม่ นักข่าวเองก็ต้องถามตัวเองด้วยเช่นกัน ว่าต้องระวังการตกเป็นเครื่องมือของใครในศึกสีกากีครั้งนี้หรือไม่

ตอนนี้ข่าวศึกสีกากี ดังพอๆกับข่าวการเมืองเลย เผลอๆจะดังมากกว่าด้วย เพราะข่าวการเมืองเหลือแค่ เรื่องพักโทษ กับเรื่องดิ้นรนออกดิจิทัลวอลเล็ต เท่านั้น

ความรู้สึกที่มีต่อข่าวศึกสีกาสีครั้งนี้ ทุกคนบอกว่าเหมือนดูมวยเลย แต่ละยกพลิกกันไปพลิกกันมา ยังไม่รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ คงต้องดูยกต่อยกวันต่อวัน และดูกันยาวๆ

แต่ที่น่าเศร้าใจก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติภาพลักษณ์ถูกฉีกเป็นริ้วๆหมดแล้วนี่สิ

หนามกุหลาบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *