24 ตุลาคม 2024

‘ขายที่ดิน – ขายชาติ’… เถียงให้ตาย ก็ไม่จบ

0

กลับมาเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง หลังจากที่รอบแรก กระทรวงมหาดไทย ผลักดันร่างกฎกระทรวง จะให้สิทธิ์คนต่างด้าว สามารถซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ ถ้าหากนำเงินมาฝากแบงก์ มาซื้อกองทุนซื้อพันธบัตร เพียงแค่ 40 ล้านบาทเท่านั้น และฝากไว้แค่ 3 ปีก็ได้แล้ว

อุตส่าห์ดันจนผ่านมติ ครม.เรียบร้อยแล้วด้วย แต่สังคมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย

คำว่า “ขายชาติ” “ขายแผ่นดินกิน” ก็เลยดังกระหึ่ม จนสุดท้ายทนเสียงด่ากระแสกดดันไม่ไหว สุดท้ายก็เลยต้องถอยกรูด

อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยอมเสียหน้าด้วยการยอมถอย ซึ่งจะว่าไปก็ต้องถือว่ายังดีที่เปิดทางถอยไว้ก่อนแล้ว ด้วยการใช้จังหวะที่พูดชี้แจงกลางสภาว่า ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยก็พร้อมจะแก้ไข หรือพร้อมจะหยุด

ผิดกับ สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ ที่ออกตัวแรงว่า ยังไงก็ไม่แก้ไข ยังไงก็ไม่ถอย พอถึงสุดท้ายที่มหาดไทยยอมถอย ก็เลยเสียไปเต็มๆ

เมื่อรัฐบาลถอย เสียงกระหน่ำเรื่องการขายชาติขายแผ่นดิน ก็จางหายไป แต่แล้วก็กลับมาคุขึ้นอีกครั้ง เมื่อรอบนี้ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือบิ๊กบอสซีพี. ออกมาพูดเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจในห้วงเวลานี้ว่า โควิดระบาด เป็นอะไรที่เกินคาดจริงๆ เดิมคิดว่า 1 ปีจบ กลายเป็น 2 ปี 3 ปี แถมยังมาเจอกับการเมือง โลกร้อน น้ำท่วม และสงครามยูเครน เข้าให้อีก

พูดง่ายๆ ขนาดคนระดับเจ้าสัวที่มีอาณาจักรธุรกิจระดับแสนล้าน ยังยอมรับว่าเศรษฐกิจรอบนี้เหนื่อยจริงๆ

แล้วก็แนะว่าตอนนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยว่าจะทำอย่างไร ที่จะดึงดูดต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้

“พอเจอคนโจมตีขายชาติ ขายที่ดิน ซึ่งคนมีความรู้เราต้องการเขามาลงทุนเมืองไทย มาทำธุรกิจ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ เขาไม่สามารถนำที่ดินกลับไปบ้านเขาได้ เขาเอาเงินมาลงทุน ซื้อที่ ซื้อบ้านปักหลัก ดีกว่าท่องเที่ยวอีก เพราะท่องเที่ยวมาแล้วก็กลับ แต่ต่างชาติเข้ามาลงทุน สร้างประโยชน์ สร้างงาน สร้างเงิน”

ดังนั้นแม้จะมั่นใจว่า เศรษฐกิจปี 2566 จะดีกว่าปี 2565 แน่นอน แต่จะดีน้อยหรือมาก ก็อยู่ที่นโยบายรัฐบาลที่จะดึงทั่วโลกมาลงทุนที่ไทย

“ถ้าวันนี้ผมเป็นรัฐบาล จะกระตือรือร้นออกไปชักชวนยุโรป รัสเซีย เข้ามาเมืองไทย อย่างดูไบที่ดินมีนิดเดียว พอรัสเซีย กับยูเครน รบกัน ดูไบไปเชิญคนรัสเซียซื้อบ้านอยู่อย่างถาวร เราทำหรือยัง ทั่วโลกบอกว่าสตาร์ตอัพชอบอยู่เมืองไทย ทำไมเราไม่เอื้อกฎหมายให้เขามาทำงานในเมืองไทย ให้เข้ามาง่าย มาใช้ชีวิตในเมืองไทย มาสร้างงาน สร้างรายได้ เศรษฐกิจให้ไทย”

ชัดเจนว่า ธนินท์ มองในแง่ที่ว่า การที่มีเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย เป็นสิ่งที่จำเป็นและควรจะต้องเร่งทำ แม้แต่จะต้องยอมขายที่ดินให้ต่างด้าวก็ควรจะต้องทำ

แถมยังเชียร์เต็มที่ให้รัฐบาลนี้ทำ ด้วยการบอกว่า คุณสมบัติผู้นำ ต้องกล้าทำ กล้าตัดสินใจ วันนี้จะให้คนเห็นพ้องทุกคนไม่มีทาง ถ้ามั่นใจว่าไม่ใช่เพื่อส่วนตัว ผิดบ้างก็ไม่เป็นไร

ซึ่งก็ร้อนฉ่าทันที เพราะคนที่ต้านแนวคิดนี้ก็กลับมาต้านอีกเช่นเคย แถมวิจารณ์สนั่นว่า เห็นหน้าเจ้าสัวที่โหงวเฮ้งดูหมองๆ สีหน้าคล้ำๆ ก็รู้เลยว่าวิกฤตรอบนี้ คนระดับเจ้าสัวยังเจอหนัก จนราศรีหดหาย จนต้องออกมากระตุ้นให้รัฐบาลกลับมาฮึดหาทางดึงเงินทุนต่างชาติ โดยไม่ต้องแคร์คำว่าขายชาติ

ที่แรงหน่อยก็คือ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมาโพสต์ทันทีว่า การขายที่ดินต่างชาติ คำตอบจากคนไทยคนหนึ่งถึงเจ้าสัวซีพี ใจความคร่าวๆ ก็คือ ผมฟังสิ่งที่เจ้าสัวพูดถึงชาวต่างชาติซื้อที่ดินดีกว่าเข้ามาท่องเที่ยวแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ขายที่ดินแล้วเขาเอากลับไปด้วยไม่ได้ บอกว่า “คนไทยหวังดีกับประเทศ แต่กลับทำให้ประเทศเสียหาย”

จึงขออนุญาตตอบแทนคนไทยอย่างผมว่า “หัวสมองอันปราดเปรื่องของเจ้าสัวคิดแต่เรื่องเงินทุน การผูกขาดเท่านั้น”

การมาท่องเที่ยวชั่วคราว เป็นการได้น้อยจริง แต่ได้ยาวไปตลอดชาติ เป็นการได้ทั้งระบบ ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าจับจ่ายใช้สอย ค่ากิน ค่าเดินทาง และอื่นๆ อีกมากครบวงจร มีเงินกระจายไปอย่างทั่วถึง เพราะการท่องเที่ยว มีรายได้มหาศาลไปจนถึง คนขายของข้างถนน

นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกบังคับให้กิน ให้ซื้อ ให้ผูกขาดเหมือนที่เจ้าสัวทำทุกวันนี้ เพราะมาแค่ชั่วคราว มาแล้วไป แต่หากที่ดินถูกผูกขาดจากทุนต่างชาติไปด้วย ถือว่าเป็นระบบผูกขาดครบวงจร เป็นการกินทั้ง “ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์” ตามปัจจัยสี่ “ที่อยู่ อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม” ทั้งสี่ถูกทุนไทยครอบงำไปหมด เหลือสิ่งสุดท้าย และสำคัญสุด คือ ที่ดินนั่นเอง

ส่วน 105 ล้านไร่ พื้นที่เพาะปลูก ขายไม่ได้หมดหรอกครับท่านเจ้าสัว แต่ที่หมดคือ “ที่ในทำเลดีๆ” สิไม่ว่า ทุนต่างชาติที่แข็งแรงกว่าอย่างจีน ไม่ไปซื้อที่ห่วยๆ ที่ไม่มีค่าหรอกครับ

ต่างชาติที่มีเงินทุนมากกว่าย่อมคัดเอา “ปลาตัวใหญ่” แล้วเหลือเศษก้างให้คนไทยไว้

ไอ้ที่ดินมันไปไหนไม่ได้ แต่เงินที่ได้จากการขายที่ดินนี่สิ มันไปไหนก็ได้บนโลกใบนี้

หากต่างชาติซื้อที่ในทำเลที่ดี แล้วขายในราคาแพงเพื่อทำกำไร และปั่นราคาสูงจนคนไทยซื้อไม่ไหว คนที่ซื้อได้คือต่างชาติที่มีเงินเท่านั้น เงินที่ขายได้ เขาก็สามารถขนกลับไปประเทศเขาได้อยู่ดี

อย่าไปยกตัวอย่างประเทศ “ดูไบ” เลยท่าน เพราะระบบความแข็งแกร่งต่างกัน ที่ดินดูไบแพงมาก คนดูไบเองรวย คนต่างชาติกลับเป็นคนที่มีทุนน้อยกว่า คือเราเห็น “ต่างชาติ” เป็นเศรษฐี แต่ดูไบเห็นต่างชาติเป็นคนจนกว่าเขา จะเหมือนกันยังไง เอาตัวอย่างที่เป็นความจริงกลับด้านมาเทียบมันไหวหรือ?

แล้วดูต่างชาติอย่าง “จีนเทา” มาซื้อบ้านกันยกหมู่บ้าน จัดปาร์ตี้ อยู่กันแบบไม่เกรงใจใคร เพราะเป็นเศรษฐี รบกวนเพื่อนบ้าน โดยไม่มีใครกล้าห้าม เพราะความรวย อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เมื่อทำขนาดระดับหมู่บ้านกว้านซื้อได้ ต่อไปก็กว้านซื้อระดับทั้งถนน ทั้งตำบลได้

แล้วหากเจอ ยิ่งกว่าตู้ห่าว ที่คนเดียวล่อที่ดินไป 1,000 ไร่ ในทำเลอย่างภูเก็ต สาทร ได้ มีต่างชาติอย่างตู้ห่าวสัก 100 คน ก็ทำได้ 100,000 ไร่แล้ว

เมืองไทยยังไม่พร้อมหรอกครับท่านเจ้าสัว กฎหมายอ่อนแอ เจ้าหน้าที่รัฐเห็นแก่เงิน เอาแค่ ตอนนี้ยังไม่ได้ให้ต่างชาติซื้อที่ดิน ก็มีวิธีการซื้อ อย่างที่จีนซื้อยกหมู่บ้าน ยกชั้นคอนโด ด้วยการตั้งบริษัทเช่าคนไทยเป็น “นอมินี หรือตัวแทน” ถือหุ้นใหญ่ แล้วโอนลอยหุ้นกลับ

บริษัทของท่านที่อ้างว่าเป็นบริษัทของคนไทย มันไม่ใช่หรอกครับ บริษัทของท่านร่วมทุนกับต่างชาติ จนเป็น “บริษัทข้ามชาติ” ไปแล้ว แต่นั่นมันแค่ “หุ้น” นะครับ ไม่ใช่ “ที่ดิน”

นี่ท่านจะเอาที่ดินไปขายด้วยหรือ? แล้วต่อไปจะขายอะไรอีกครับ?

บางกอกทูเดย์ บอกได้เลยว่า ทั้ง 2 ขั้วความคิด ต่างก็มีคนที่เห็นด้วยอยู่ไม่น้อย นั่นคือมีทั้งฝั่งที่เห็นด้วยกับเจ้าสัวธนินท์ ที่มองว่า ยังไงก็เอาที่ดินไปไม่ได้ แต่เราจะได้เงินลงทุนเข้ามา กับฝั่งที่เห็นด้วยกับชูวิทย์ว่า มันอันตรายและเสียหายในระยะยาว

ปัญหาก็คือ จะถ่วงดุลสองแนวคิดนี้อย่างไร จะใช้สิ่งที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับอเมริกา กับอังกฤษ ที่ขายที่ ขายอสังหาฯ ให้กับคนต่างชาติอย่างมากมายอย่างที่เห็นๆกัน หรือจะตั้งมั่นว่า การที่จะให้ต่างด้าวเข้ามาซื้อที่ดินมันคือการขายชาติ

โจทย์นี้ไม่ง่าย สำหรับรัฐบาลที่อยู่ในภาวะถังแตก และบริหารเศรษฐกิจให้ฟื้นไม่ได้อย่างราคาคุย

ความกลัวต่างชาติมาได้ของถูก ความกลัวต่างชาติถือโอกาสเข้ามาฮุบที่ดิน แล้วช่องว่างระหว่างชนชั้น ความเหลื่อมล้ำในสังคมจะยิ่งมากขึ้น เมื่อมีคนต่างชาติเข้ามารวยมากขึ้น ส่วนคนไทยเป็นแค่ลูกจ้าง อย่างที่ชูวิทย์พูด เป็นสิ่งที่คนชนชั้นกลางลงไปคิดอย่างนั้นจริงๆ

ในขณะที่ชนชั้นนักธุรกิจ ชนชั้นอีลีท มองว่า ต่างชาติเข้ามาสิดี มีเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ฉันจะได้ฟื้น ฉันจะได้แข็งแรง เพราะฉันมีฐานที่จะรับมือกับต่างชาติได้

ถ้าขืนเอาหลักการมาเถียง มายันกัน บอกได้เลยว่าปวดหัวแน่ เถียงกันไม่จบไม่สิ้นแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ ก็เหมือนกับคาสิโนถูกกฎหมายนั่นแหละ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีไม่ได้ แต่คนไทยแว่บไปเล่นในคาสิโนเมืองนอกกันให้ฮึ่มไปหมด เงินไหลออกพรวดๆ ก็เห็นก็รู้กันอยู่

ถ้าชุดความคิดยังแตกต่างกันแบบนี้ พูดเรื่องขายที่ดินให้ต่างชาติเมื่อไหร่ รับรองได้ว่า ข้อหาขายชาติ ขายแผ่นดิน ตามมาแน่ๆ เชื่อเหอะ

ยิ่งตอนนี้ผวากลุ่มจีนสีเทากันจนประสาทแด็กกันหมดแล้ว เรื่องนี้ไม่ง่ายแน่ๆ

ขนาดเจ้าสัวพูดยังเจอสวน ถ้านักการเมือง หรือประยุทธ์ พูด จะโดนหนักขนาดไหน

ฉะนั้นดูแล้ว ก็คงไม่พ้น ได้แต่ทำกันเงียบๆ ขายกันเงียบๆ ใต้โต๊ะกันเงียบๆอย่างที่ผ่านมานั่นแหละ มีใครจุดพลุเมื่อไหร่ ก็ค่อยไฟไหม้ฟางกันเป็นรอบๆไป

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *