24 ตุลาคม 2024

สุดท้าย! ที่เสียหายคือ ‘ประเทศชาติ’

0

อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีงาน “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และความคืบหน้านโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเข้าสู่เดือนที่ 9 พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต โดยได้กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “เติมเพื่อไทยให้เต็ม 10 สนับสนุนรัฐบาลเปลี่ยนประเทศ” ซึ่งจริงๆ มีการพูดยาวในหลายเรื่อง แต่กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าอยู่เรื่องเดียว กรณีวิพากษ์อิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ

โดยอุ๊งอิ๊ง ยืนยันว่า ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเห็นว่าเป็นการตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ปัญหาปัจจุบันที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งระบบราชการที่โตเกินไป ความอืดอาดในการทำงาน ด้วยโครงสร้างที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยี เศรษฐกิจและภัยคุกคามทางความมั่นคงที่พัฒนาไปเร็วมาก รวมถึงภัยต่อเยาวชนจากยาเสพติด ทำให้ประชาชนของชาติอ่อนแอ ขาดโอกาสในการทำมาหากิน เศรษฐกิจใต้ดินสูงเป็นประวัติการณ์

ระบุด้วยว่า เพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมามีการใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจเพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเสียเวลาและโอกาสกันมาเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร ซึ่งมั่นใจว่าทำได้

อุ๊งอิ๊งยังมีการยกตัวอย่าง ประเด็นในมิติทางเศรษฐกิจ ทั้งการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท รวมไปถึงเม็ดเงินใหม่จากต่างประเทศจะเข้ามาจากการลงทุน และการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน โดยการนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน จะเปลี่ยนจากรัฐบาลอุ้ยอ้าย อืดอาด ไม่โปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล บริหารด้วยความรวดเร็ว โปร่งใสตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆได้ และมีซูเปอร์แอพในการบริการทุกมิติของภาครัฐ จะปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ใหม่อีกครั้งหนึ่งเร็วๆนี้ พร้อมจะแก้กฎหมายทางเศรษฐกิจอีกหลายฉบับ ทั้งการยกเลิกกฎหมายล้าสมัย เขียนกฏหมายใหม่ให้ไทยกลับมาเป็น Hub ทั้งการบินและการเงินของอาเซียนให้ได้

สิ่งที่ตามมาคือแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยพุ่งเป้าไปที่ประเด็นเดียว คือ “กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”

โดยเป็นการจับประเด็นสืบต่อมาจากเรื่องที่รัฐบาลเศรษฐา ต้องการที่จะให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน แบงก์ชาติ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% ให้ลดลงมา 0.25-0.50% โดยเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ผงกหัวขึ้นมาได้ แต่ กนง. ยืนกรานว่า ยังไม่ถึงเวลา! ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลไม่พอใจในระดับที่หากปลดผู้ว่าแบงก์ชาติได้ง่ายเหมือนในอดีต มีหวัง เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนปัจจุบันคงโดนปลดไปแล้ว

สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การแบ่งแยกแตกขั้วในสังคมไทยจากเกมขั้วอำนาจทางการเมืองยังคงมีอยู่ในระดับที่รุนแรง

ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลยทั้งๆที่ประเทศไทยจมปลัก ติดกับดักความขัดแย้งทางการเมืองจากปี 2548 มาจนถึง 2567 คือ 19 ปีเต็มแล้ว ที่ประเทศไทยถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลายศักยภาพและโอกาสของประเทศในการที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า จากปัญหาแย่งชิงอำนาจทางการเมืองจาก 3 กลุ่มอำนาจ

วันนี้เรื่องคำพูดของอุ๊งอิ๊ง แน่นอนว่า พลพรรคเพื่อไทย เหล่าบรรดานางแบก พวกโหนอำนาจการเมืองปัจจุบัน ต่างพากันดาหน้าออกมาปกป้อง อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร กันอุตลุดไปหมด ชนิด ณ วันนี้ ใครจะมาแตะ อุ๊งอิ๊ง – พรรคเพื่อไทย และ เศรษฐา ไม่ได้เลย ต้องโดนสวนกลับในทันที

ส่วนขั้วการเมืองตรงกันข้ามที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็เดินหน้าโต้แย้ง ตำหนิ กันอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์รุ่นเก่า ที่ถือเป็นคู่ขัดแย้งที่มีแผลใจ มีมีดแห่งความแค้นปักอกกันมาตั้งแต่สมัยทักษิณ ชินวัตร เล่นการเมืองด้วยตัวเอง ลามต่อมาจนถึงตัวแทนทักษิณ คนในครอบครัว น้องสาว มาจนถึงปัจจุบันคือ ลูกสาว ล้วนถูกกลุ่มคนในประชาธิปัตย์ที่เกี่ยวข้องกับ กปปส. จองกฐินผูกขาดความแค้น

ขณะที่อีกขั้วอำนาจการเมืองฝ่ายอนุรักษ์ ซากเดนที่ยังหลงเหลือจากผลพวงการได้ดิบได้ดีของการทำรัฐประหาร ก็ยังคงปั่นเกมอย่างสนุก เพราะไม่ได้หวังแค่ทำลายเพื่อไทยเท่านั้น แม้แต่ก้าวไกล หากพังไปพร้อมกันทั้งคู่ได้เลยยิ่งดี อำนาจจากกลุ่มรัฐประหาร กปปส. และอดีตพันธมิตร จะได้คืนสู่อำนาจ

เกมชั่วร้ายสุดๆ คือการแทรกแทรง การใช้องค์กรอิสระให้กลายเป็นเครื่องมือฟาดฟันกันทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงระบบ กระบวนการ และความเป็นองค์กรอิสระที่ต้องล้มละลายทางศรัทธาอย่างรุนแรง เพราะไม่ใช่แค่บรรดานักวิชาการ ผู้นำทางความคิดในสังคมจะรับไม่ได้ แม้แต่ประชาชนเองก็มีจำนวนผู้ที่รับไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

ยังไม่นับการเลือกขั้วเลือกข้างของสื่อ ที่ฟาดฟันกันอย่างสนุกไม่แพ้กัน เพราะกับสื่อบางรายนี่คือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทั้งทางธุรกิจ และกลุ่มก้อนพรรคพวก จึงเป็นอีกพื้นที่ซึ่งดวลเดือดรุนแรงไม่แพ้ขั้วอำนาจการมเอง

น่าเศร้าคือ บนความขัดแย้งแย่งชิงชัยชนะ เพื่อยึดกุมอำนาจและผลประโยชน์ทั้งทางการเมือง ทางธุรกิจ และพวกพ้องนั้น ที่พ่ายแพ้และเสียโอกาสอย่างมากมาย ก็คือ ประเทศชาติ นั่นเอง

กรศิริ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *