ใครซุกใต้พรม-สะสมเรื่อง
โยนความผิด-ติดตัว ให้“รัฐบาลนิด”กันเสียทุกเรื่อง…“นิรโทษกรรม ๑๑๒” ว่า “รัฐ”เป็นผู้ที่“ซุกปัญหาใต้พรม”
“คนไทย ๖๖ กว่าล้านคน” เมื่อไม่เข้าไปแตะ-กระแซะ ก็เห็นเขาอยู่กัน“อย่างสันติสุข”ราบรื่นเป็นอันดี
“นักวิชาการปากเก่ง”พวกนี้ก็ไม่เคย“ร่วมบรรเลง” ออกมากล่าวถึง“ม.๑๑๒”แต่ประการใด เป็น“อีแอบ”ที่อยู่เบื้องหลังเด็ก..และมัก“เหินหาว” ทำตัวออกมาเป็น“พระเอก”หลังหนังจบม้วนลง
ต้องรู้ “แก่นกันเสียก่อน” ถ้าไม่มี“คนคอยปั่น-คอยเสี้ยม” เพื่อยุยงเขาเสียอย่างแล้ว เยาวชนจะกล้า“พรึงเพริด” ทำเรื่องที่ตึงตัง โครมคราม ปานฟ้าถล่มเชียวนี้ได้หรือ?
อย่ามาแก้ปัญหากันที่“ปลายเหตุ” ทั้งที่ต้นสาย-ปลายเหตุ มีคนบางคนอยากได้“ความนิยม”ในหมู่คนหนุ่ม-คนสาว
จึงนำ“๑๑๒”ขึ้นมา“ฉวัดเฉวียน” บินวนอย่างผาดโผน เพียงแค่“แง้มประตู”..ออกมาเล่นง่ายๆ ไม่ยาก-แล้วก็จากไป
แต่“เยาวชน”ออกมา“บิดกันจนไมล์ขาด” จึงพลาด และตกเป็นจำเลย ด้วยความ“ไม่รู้เท่าทัน”
“นำมุขเดิมๆ –เติมเข้ามา”อย่างไม่หยุดหย่อน ว่า..“นิรโทษกรรม”เป็นหนทาง“แห่งการปรองดอง” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ คนไทยไม่มี“ความแตกแยก-แหกกันเป็นหมู่เหล่า”
แต่เพราะมี“การยุ-บรรจุ ๑๑๒ สมองเด็ก” ปัญหาถึงได้ลาม ยิ่งกว่ามหากาพย์ใน“รามเกียรติ์”เสียอีก
บางคนถึงกับ“ขึงขัง” เคร่งขรึม เอาจริง-เอาจังเสียให้ได้ นิรโทษกรรมอย่างใด ต้อง“รวม ๑๑๒”สู่กระบวนการเท่านั้น..
นี่เป็นการ“ข่มเขาวัวให้กินหญ้า” บังคับขืนใจให้ผู้อื่นทำตามดังที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่หลัก“แห่งเหตุผล” และในตอนนี้ “ฝ่ายนิติบัญญัติ”กำลัง“ปลดล็อก” คลี่คลายปัญหานี้ที่ค้างเติ่งมานาน
“ให้เลียบ” เกลาะเกลาเพื่อเกิดความกลึงเกลา เกลี้ยงกลม เป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกัน
ฉะนั้น, อย่าคิด“หักพร้าด้วยเข่า” ใช้โมหะแห่งจิต จะเอา และคิดเอาท่าเดียว แบบนี้มันก็เกินไป
เชื่อว่าจะมี“แรงสะท้อน-ย้อนกลับ” โต้ออกมารุนแรง ถ้าคิด“หักเหลี่ยม”กันทุกดอกเช่นนี้
อย่าถึงขั้น“รวมนิรโทษกรรม”กันแบบเบ็ดเสร็จ เช่นนั้นเลย…
เหมือนที่เขาบอกกันว่า “จะกินอาหารให้อร่อย ต้องค่อยๆ คอยใจเย็นๆ” รีบร้อนรน ออกอาการกระวน กระวาย ทุกรายกันเช่นนี้ มีแต่จะ“เสียงานใหญ่” ทำให้ไม่ได้เนื้อ-ไม่ได้หนัง ตามมาแบบนั้น มันจะคุ้มกันหรือ?
เห็น“นักวิชาการ”ที่ออกมาเป็น“ตั้วโผ” ทำไมไม่ยักเห็น“สำแดง-ข้อเท็จจริง” ให้เยาวชนได้รอดปากเหยี่ยว-ปากกากันมั่ง
เหมือนกันการที่ท่านได้ออกมา“คัดค้าน-รันงานหัวชนฝา” ที่จะไม่ให้มี“นิรโทษกรรม”พวกที่ทำการ “ปฏิวัติ-รัฐประหาร”
ท่านได้หยิบเหตุผลขึ้น“โน้มน้าว” ให้ทุกคนคล้อยตามและเห็นด้วย ว่า“การปฏิวัติ-รัฐประหาร” เป็น“ความเลวร้าย” ไม่นำพาให้“ประเทศเจริญก้าวหน้า”
ท่านทำทุกอย่างได้ เพื่อไม่ให้“มนุษย์ลายพราง” ขับรถถัง และลากสไนเปอร์ออกมาปฏิวัติ
“พิษภัย”ท่านชี้ออกมาเป็นฉากๆ ให้เห็น“โทษมหันต์”ของการ“ล้มประชาธิปไตย”
ทีแบบนี้ทำไม-ถึงได้ โดยชี้ให้เห็น“อันตราย”ที่ประเทศไทย จะต้องไม่มี“ปฏิวัติ”จากนี้ต่อไปแล้ว…
“นิรโทษกรรม ๑๑๒” อย่าใช้“เสียงนอกสภาฯ” ส่งโวยวายให้ได้“ตามใจตัวเอง”เลย
เหมือนกับ“น้ำที่หยดลงตุ่ม” หยดกันวันละน้อย ย้อยหยดกันที่ละติ๋ง ก็ทำให้“น้ำเต็มตุ่ม”ได้เหมือนกัน
เอา“นิรโทษกรรม”กันทีเดียว..แบบ“พรวดพราด”รวดเร็วกันเกินไป
จะไม่ได้อะไรติดมือ..“คิดกันไม่เป็นเชียวหรือ” ตื้อเอาท่าเดียว จะไม่ได้อะไรสมปรารถนาสักอย่าง
“กะพรุนไฟ”