24 ตุลาคม 2024

ป.ป.ช. ก็อาจจะติดคุกทั้งคณะได้

นายวีระ สมความคิด ได้ฟ้องคณะกรรมการป.ป.ช.หลายกระทง คือ

1.โจทก์ขอให้ป.ป.ช.เปิดเผยรายงานการตรวจสอบ ไต่สวน การถือครองทรัพย์สินของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตามกฎหมายข้อมูลข่าวสาร แต่ป.ป.ช.ไม่เปิดเผย เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย จึงฟ้องเป็นความผิดกระทงที่ 1

2.ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ให้ป.ป.ช.เปิดเผยรายงานการตรวจสอบไต่สวนตามคำสั่งของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร แต่ป.ป.ช.ไม่ปฏิบัติ จึงเป็นการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นกระทงที่ 2

3.ป.ป.ช.ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และได้อุทธรณ์ ฎีกา จนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำสั่งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เป็นการทำความผิด เป็นกระทงที่ 3

4.ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารแล้ว ก็ยังไม่ปฏิบัติ เป็นการท้าทายอำนาจศาล เป็นการทำความผิดเป็นกระทงที่ 4

5.ป.ป.ช.ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ให้ส่งรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินของพลเอกประวิตร ป.ป.ช.ได้ส่งบางส่วน นายวีระอ้างว่าส่งไม่ครบ ป.ป.ช.ว่าครบแล้ว ศาลปกครองกลางสั่งให้ส่งให้ครบตามคำพิพากษา ป.ป.ช.อุทธรณ์และฎีกาเป็นศาลที่ 6 ในที่สุดศาลปกครองสูงสุดก็มีคำสั่งให้ป.ป.ช.ส่งเอกสารให้ครบตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นที่ยุติแล้ว ป.ป.ช.ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด เป็นการทำความผิดเป็นกระทงที่ 5

6.เมื่อป.ป.ช.ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล นายวีระจึงขอให้ศาลปกครองออกหมายบังคับให้ปฏิบัติ ศาลปกครองกลางจึงออกคำบังคับให้ป.ป.ช.ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่ป.ป.ช.ก็ไม่ปฏิบัติ จึงถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายเป็นกระทงที่ 6

7.ครบกำหนดตามคำบังคับของศาลปกครองแล้ว ป.ป.ช.ก็ไม่ปฏิบัติ ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายเป็นกระทงที่ 7 นายวีระจึงขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับคดีตามคำบังคับ ป.ป.ช.ก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเป็นกระทงที่ 8 ในที่สุดศาลปกครองจึงมีคำสั่งปรับป.ป.ช. เป็นเงินรวม 10,000 บาท ซึ่งป.ป.ช.ได้นำเงินไปชำระค่าปรับแล้ว

ถือว่าเป็นการยอมรับผิด และยอมปฏิบัติในเรื่องค่าปรับตามคำสั่งบังคับคดีของศาลปกครองแล้ว

8.แต่ป.ป.ช.ก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล ดังนั้นนายวีระจึงร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกป.ป.ช.มาขังไว้จนกว่าจะยอมปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลปกครองทำการไต่สวนคำร้อง นายวีระจึงฟ้องเป็นกระทงที่ 9

ความผิดทั้ง 9 กระทงนี้ มีสำนวนคดีของศาลปกครองเป็นหลักฐาน มีคำพิพากษาคำบังคับและการชำระค่าปรับที่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับเป็นหลักฐาน เป็นข้อเท็จจริงที่ผูกพันคู่ความ คือป.ป.ช.กับนายวีระ ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกัน นายวีระเห็นว่าป.ป.ช.ไม่สามารถชี้แจงหักล้างเรื่องนี้ได้

คำคัดค้านของป.ป.ช.ในชั้นพิจารณารับฟ้องของนายวีระ ได้อ้างแต่เพียงว่ามีความเชื่อโดยสุจริตว่าได้ส่งเอกสารให้แก่นายวีระตามคำพิพากษาแล้ว

ความเชื่อโดยสุจริตนั้น น่าจะฟังไม่ขึ้น และไม่เป็นเหตุทำให้ป.ป.ช.พ้นผิดได้

เพราะข้อเท็จจริงที่ผูกพันป.ป.ช.แล้วก็คือ การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด จนต้องมีการออกคำบังคับ แล้วก็ไม่ปฏิบัติอีกจนต้องมีการขอให้บังคับคดี จนศาลปกครองต้องมีคำสั่งปรับ และมีการชำระค่าปรับเป็นการยอมรับผิดในส่วนการบังคับคดีไปแล้ว คงเหลือความรับผิดทางอาญา นายวีระจึงนำคดีไปฟ้อง

ดังนั้นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงของคดีมีหลักฐานอยู่ในสำนวนคดีความของศาลปกครองทั้งหมดแล้ว และข้อเท็จจริงก็เป็นยุติแล้ว เพราะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ระหว่างคู่ความเดียวกัน ข้อเท็จจริงนั้นจึงผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วย

ดังนั้นจึงน่าห่วงว่า ถ้าศาลอาญาทุจริตรับฟ้อง ป.ป.ช.ก็มีโอกาสติดคุกทั้งคณะก็ได้

ไพศาล พืชมงคล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *