สติและวุฒิภาวะ กับ การมุ่งรับใช้
หรือนี่คือบรรทัดฐานของ ส.ว. ที่ได้รับการแต่งตั้งมาโดย คสช. โดยคนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวก
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 มีการประชุมรัฐสภา ที่เป็นการประชุมร่วม ส.ส. และ ส.ว. เพื่อเลือกคนที่จะมาเป็นายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้ง
พรรคพลังประชารัฐที่พลิกเกมสามารถรวมเสียงข้างมากได้ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นพรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1
แต่เพราะว่า รัฐธรรมนูญฉบับตามใจแป๊ะ ที่เขียนโดย มีชัย ฤชุพันธุ์ และพวก ได้ก่อให้เกิดการตระบัดสัตย์ทางการเมือง
พลังประชารัฐในวันนั้น ใช้ความเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เสนอชื่อ ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
บันทึกไว้เป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคของการใช้อำนาจเพื่อก้าวขึ้นสู่การยึดกุมอำนาจ และบันทึกไว้ให้จดจำว่า วันนั้นพรรคการเมือง ส.ส. และ ส.ว. ทำอย่างไร
คะแนนเสียงสนับสนุน ประยุทธ์ มาจากพรรคพลังประชารัฐ 116 เสียง แค่ 116 เสียงเท่านั้น แต่วันนั้นอ้างว่าถือเป็นเสียงส่วนใหญ่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ 51 เสียง พรรคภูมิใจไทย 50 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคพลังท้องถิ่นไท 3 เสียง พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 เสียง พรรคประชาชนปฏิรูป 1 เสียง และบรรดา 10 พรรคเล็ก อีก 10 เสียง
เท่ากับเสียง ส.ส.ที่สนับสนุนประยุทธ์ มีรวมทั้งสิ้น 251 เสียงเท่านั้นเอง
ในขณะที่ขั้วการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้น รวมเสียงได้ 244 เสียง
วันนั้น ส.ว. 250 คน เทคะแนนให้กับประยุทธ์ 249 คน โดยมีงดออกเสียง 1 คน คือ พรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา
เป็นการออกเสียงให้ของ ส.ว. แบบไม่มีการแตกแถว ไม่มีการตั้งคำถามเลยสักนิดว่า ประยุทธ์ได้คะแนนเสียงปริ่มน้ำ แค่ 251 เสียงเท่านั้นเอง
และเป็นสาเหตุให้วุฒิสภาได้รับฉายาเป็น สภาทหารเกณฑ์
เมื่อถูกสังคมตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่เป็นนั่งร้านให้ประยุทธ์ได้เสพสมเก้าอี้นายกฯได้ตามอารมณ์หมาย ได้มี ส.ว.ปากแจ๋วหลายคนที่ออกมาอ้างว่า ประยุทธ์ได้เสียงข้างมากจาก ส.ส.อยู่ก่อนแล้ว เท่ากับ ส.ส.เลือก ประยุทธ์ ส่วน ส.ว.ไม่ได้เป็นหลักในการเลือก แค่เป็นผู้สนับสนุน
แต่มาในวันนี้ ขั้วที่ชนะการเลือกตั้ง รวมเสียงได้มากถึง 310 เสียง มากกว่าตอนที่ ประยุทธ์ ได้รับเลือกเป็นนายกฯถึง 59 เสียง แต่วันนี้ ส.ว.กลับอ้างว่า เป็นเสียงที่ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ที่ต้องได้เกิน 367 เสียง
วันนั้นในอดีต ส.ว.ไม่มีการทวงถามพลังประชารัฐในเรื่องการรวมเสียงให้ได้เกิน 367 เสียงเลยสักคำ แต่ในวันนี้ มี ส.ว.ปากแจ๋ว ออกมาอาละวาดฟาดงวงฟาดงา พูดวาจาใหญ่โต ว่า ขั้วก้าวไกลจะต้องไปหาเสียงมาให้ได้ 367 เสียงเอง เพราะ ส.ว.กลุ่มปากแจ๋วจะไม่โหวตให้ หรือไม่เช่นนั้นก็จะโหวตงดออกเสียง
นี่คือการสวนทางไม่แยแสกับการลงคะแนนเลือกตั้งของประชาชนใช่หรือไม่
ส.ว.ที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนมายาวนานร่วม 10 ปี ย้ำกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน ไม่ใช่กินเงินเดือนจากประยุทธ์ และพวก ควรจะต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน หรือทำหน้าที่รับใช้ประยุทธ์ไม่เลืกรา
สังคมไทยควรจะจดจำชื่อของบรรดากลุ่ม ส.ว.ปากแจ๋ว เหล่านี้เอาไว้ให้แม่น ว่าคนกลุ่มนี้สมควรมีที่ยืนในสังคมอีกหรือไม่
ไม่แปลกที่พฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้ สังคมว่อนไปด้วยคำถามว่า ส.ว.มีไว้ทำไม
ภูวนารถ ณ สงขลา
ภาพ iLAW