24 ตุลาคม 2024

ทันทีที่พรรคเพื่อไทยมีการอ้างมติคณะกรรมการบริหารพรรค และความเห็นของ ส.ส.พรรค ว่าในการตกลงร่วมมือเป็นรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล จะต้องใช้สูตร 14+1

นั่นคือ นอกจากเก้าอี้รัฐมนตรีแล้ว พรรคเพื่อไทยจะต้องได้เก้าอี้ประธานสภา แม้จะเป็นพรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 2 ก็ตาม

ขั้วการเมืองประชาธิปไตย แตกออกเป็น 2 ขั้วความคิดเห็นอย่างรุนแรงในทันที

ด้อมส้มก็เชียร์ก้าวไกลอย่ายอม ยอมไม่ได้ ขณะที่นางแบกแดง ก็ยืนกรานเพื่อไทยต้องเอามาให้ได้ ห้ามถอยเด็ดขาด

อาการเช่นนี้ ขั้วการเมืองประชาธิปไตย ถามใจตัวเองก็แล้วกันว่า ใครดีใจจนออกนอกหน้า เมื่อขั้วประชาธิปไตยขัดแย้งกันเอง

แย่ตรงที่การวิเคราะห์ส่วนใหญ่ออกมาตรงกันหมด ยกเว้นแต่พวกนางแบกเท่านั้นที่เห็นต่าง นั่นคือ เพื่อไทยออกอาการเล่นกล หักหลังเพื่อน

ใช่..ไม่ใช่ จริง..ไม่จริง ตอนนี้กระแสสังคมส่วนใหญ่เชื่อเช่นนั้น ไม่ว่าเพื่อไทยจะปฏิเสธสักเพียงใดก็ตาม

เพราะอาการกลับไปกลับมาในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คนชื่อ ‘ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ เดินทางกลับมาพร้อมกับเสียงกระหึ่มของคำว่า “ดีลลับ” อีกครั้ง

เป็นอาการเปลืองตัวอีกครั้งของเพื่อไทย หลังจากที่เคยอ้ำอึ้งเรื่องการจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับพลังประชารัฐ ด้วยประโยคที่ว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้” จนทำให้ไม่เพียงแต่ผลการเลือกตั้ง เพื่อไทยไม่ได้แลนด์สไลด์อย่างที่หวัง

ยังกลายเป็นแพ้สูญเสียตำแหน่งผู้ชนะการเลือกตั้งต่อเนื่องมา 22 ปี ให้กับพรรคก้าวไกล

แน่นอนไม่มีใครรู้ว่า หากสุดท้ายพรรคเพื่อไทยจะเอาตำแหน่งประธานสภาให้ได้ ถึงขั้นหักกับก้าวไกล แล้วไปจับขั้วใหม่ตั้งรัฐบาลโดยไม่มีก้าวไกล แต่ไปจับกับพลังประชารัฐและภูมิใจไทย

และหากเลยเถิด ถึงขั้นให้ ‘ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ มาเป็นนายกฯ ทั้งๆที่พลังประชารัฐมีเสียง ส.ส.แค่ 40 เสียงเท่านั้น ในขณะที่เพื่อไทยมีเสียงมากถึง 141 เสียง คนก็จะสรุปว่าดีลลับมีจริง เป็นดีลลับที่เกิดจากความอยากกลับบ้านของคนแดนไกล

เลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อไทยจะโดนลงโทษแค่ไหน จะซ้ำรอยพรรคการเมืองตระบัดสัตย์ที่พ่ายแพ้จนแทบสิ้นเกียรติภูมิหรือไม่ คงไม่มีใครบอกได้

แต่ปัญหาที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ แน่ใจหรือว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ได้อดีตทหารแก่ที่คิดว่ายังมีบารมีมาเป็นนายกฯ หรือมาคุมกลาโหมก็ตาม

และแน่ใจแล้วหรือว่า หาก ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับมา แต่จะเพราะอะไรก็ตาม ปรากฏว่าไม่ได้ติดคุก จะไม่เป็นเหตุให้ ขบวนการ กปปส. กลับมารวมตัวได้อีกครั้ง

อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด หวังว่าคงจำบทเรียน ‘นิรโทษกรรมสุดซอย’ ได้ว่าวันนั้นปลุกกระแสไม่พอใจได้ขนาดไหน และผลที่ตามมาคืออะไร

แน่ใจหรือว่า สุดท้ายแล้ว เพื่อไทยจะไม่โดนหลอกซ้ำซากอีกครั้ง

สูตร 14+1 เหมือนกันทั้ง 2 พรรคนั้น จริงๆยังคงใช้ได้ แค่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการเจรจา

เพื่อไทยต้องแสดงให้เห็นว่า หนุนอย่างเต็มที่ แต่หาก ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ สะดุดขาตัวเอง ไปไม่รอดจริงๆ ถึงเวลานั้น 14+1 ของก้าวไกลคือ ได้แค่ประธานสภา

ส่วน 14+1 ของเพื่อไทย คือได้เก้าอี้นายกฯ จะเป็น ‘เศรษฐา ทวีสิน’ หรือ ‘ชัยเกษม นิติศิริ’ ก็แล้วแต่

แต่นั่นคือการจบด้วยสูตร 14+1 ภายใต้กติการัฐธรรมนูญฉบับตามใจแป๊ะ ที่วางหมากเอาไว้ขัดขาประชาธิปไตยอย่างชัดเจน

ถ้าจบด้วยการบอกกล่าวกันในโต๊ะเจรจาว่า หากเพื่อไทยช่วยส่งพิธาอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังไปไม่ได้จริงๆ ถึงเวลานั้น ก้าวไกลก็ต้องช่วยเพื่อไทย เพื่อให้เก้าอี้นายกฯยังอยู่ในขั้วประชาธิปไตย

แต่หากเล่นกลจนผิดขั้ว ผิดข้างเมื่อไหร่ เกมนี้ได้เห็นพรรคการเมืองพังในระดับสิ้นสภาพสิ้นลายกันเลยทีเดียว เพราะอนาคตคนรุ่นใหม่มีแต่เพิ่ม คนรุ่นเก่ามีแต่ลด

ที่คิดว่าเป็นไม้เด็ด จะทำให้พรรคได้อย่างที่ต้องการ ระวังจะกลายเป็นไม้ตาย ที่แปลว่า ‘ตายสนิท’ สิ้นอนาคตทางการเมืองกันไปเลย

ถือเป็นการวิเคราะห์ หรือเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่อยากเห็นการล่มสลายของขั้วการเมืองประชาธิปไตย จนปล่อยให้ขั้วเผด็จการอำนาจนิยมฟื้นกลับเข้ามาเสวยสุขอีกครั้ง

ภูวนารถ ณ สงขลา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *