ปิดฉากแรกขั้วเผด็จการ
การตกลงกันระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย ในเรื่องการเสนอชื่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานสภา
โดยที่พรรคก้าวไกลได้รองประธานสภาคนที่ 1 และพรรคเพื่อไทยได้รองประธานสภาคนที่ 2
ไม่เพียงถือเป็นการยุติข้อขัดแย้งเบื้องต้นในเรื่องการช่วงชิงตำแหน่งประธานสภา แต่ยังเป็นการทำให้เห็นว่า พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยยังคงให้ความสำคัญกับการที่จะต้องตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมาให้ได้
เพราะหากขัดแย้งกันจนสุดท้ายแล้วพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจับมือกันได้ ต้องแยกขั้วกันในการทำหน้าที่ทางการเมือง นั่นคือการต่อลมหายใจให้กับการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ
วันนี้คนที่ตีปีกที่สุดที่เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นในขั้วการเมืองพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ก็คือขั้วอำนาจเผด็จการ
ตีปีกที่สามารถเขียนรัฐธรรมนูญให้ออกมาในสภาพที่ประชาชนมีประชามติเลือกแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รัฐบาลอย่างที่ประชาชนเลือก
กลุ่มเสพติดอำนาจยังคงมีความพยายามที่จะกลับมายึดกุมอำนาจรัฐ ยังมีความต้องการที่จะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีความละอายไม่มีความสำนึกใดๆ
คิดเพียงแค่ว่า ตราบใดที่ยังยึดกุมอำนาจรัฐไว้ได้ และครอบงำบรรดาเหล่าทัพทั้งหลายให้สยบยอมอยู่ใต้อำนาจได้ นั่นเท่ากับว่ามีกองกำลังติดอาวุธอย่างถูกต้องตามกฎหมายไว้ใช้งาน
ควบคุมประชาชนไม่ให้แสดงออกใดๆกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะดันทุรังตั้งขึ้นมา แล้วค่อยไปซื้อส.ส.ขายตัวให้กลับขึ้นมาเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้เหมือนเมื่อปี 2562
การเสนอชื่อ วันมูหะมัดนอร์ มะทา จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่ทำให้ขั้วเผด็จการกำลังสั่นสะท้าน
เพราะว่าเมื่อพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเห็นชอบร่วมกันนั่นเท่ากับว่า เฉพาะแค่ 2 พรรคนี้ยกมือโดยที่ไม่มีงูเห่า ก็จะได้เสียงสนับสนุนถึง 291 เสียงแล้ว
ยิ่งหากบวกกับอีก 6 พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเข้าไปนั่นคือจะต้องมีเสียงสนับสนุน 311 เสียงเป็นอย่างน้อย
ถ้าขั้วการเมืองฝั่งตรงข้ามยังคิดที่จะเสนอชื่อคนมาแข่งขัน ก็ต้องถือว่าด้านเต็มทน
ที่สำคัญคนที่จะถูกเสนอชื่อจะเอาด้วยหรือไม่ เพราะมองเห็นความพ่ายแพ้รออยู่ตรงหน้า
นี่คือการปิดฉากแรกของขั้วการเมืองสืบทอดอำนาจเผด็จการที่ชัดเจน
หลังจากนี้ก็อยู่ที่ว่าจะตั้งรัฐบาล และจะเลือกนายกฯให้อยู่ในฝั่งประชาธิปไตยได้หรือไม่เท่านั้น
อัคคี กัมปนาท