23 ตุลาคม 2024

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดชัดเจน มติขับ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรค เป็นความชัดเจนของความต้องการทำหน้าที่ในสภา ที่ไม่ตรงกัน

พรรคก้าวไกลต้องการเป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ และต้องการที่จะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

แต่ ปดิพัทธ์ ต้องการที่จะทำรัฐสภาให้โปร่งใส ซึ่งจะทำได้ จะต้องเป็นรองประธานสภา คนที่ 1

ฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ ชัดๆ ว่านี่คือเหตุผลที่ขัดกัน

ที่สำคัญขัดกันอย่างนี้ แล้วจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร ในเมื่อรัฐธรรมนูญปี 60 บังคับไว้ ว่าหากได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน จะเป็นรองประธานสภาไม่ได้

เมื่อจุดยืนในความต้องการทำหน้าที่ต่างกันชนิดที่ไม่มีทางที่จะจบลงด้วยวิธีอื่นได้แล้ว ก็ต้องจบด้วยมติขับ แปลกตรงไหน พิสดารตรงไหน

ก็ยังมีพรรคการเมือง มี ส.ว. ออกมาโวยวาย ขณะที่ก่อนหน้านี้ มีการขับออกจากพรรค มีการย้ายพรรคกันทั้งรูปแบบนี้

หรือแม้แต่กระทั่งยุบพรรคตัวเองเพื่อย้ายพรรค ก็ยังทำได้ โดยไม่มีใครโวยวาย ไม่มีใครจะเป็นจะตาย

พรรคเพื่อไทย ได้ไปแล้วทั้งตำแหน่งนายกฯ ทั้งประธานสภา ทั้งได้เป็นรัฐบาล เป็นรัฐมนตรี สารพัดจะได้

แล้วพอก้าวไกลได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน และมีพรรคฝ่ายค้านอีกพรรคจะได้เป็นรองประธานสภา กลับมีคนในพรรคเพื่อไทยออกมาดิ้นพราดๆเหมือนถูกน้ำร้อนลวก

ผลประโยชน์อะไร? เป็นเรื่องที่ชวนสงสัย? หรือว่าจะเป็นตัณหาการเมือง หรือเพราะมีบางคนเดินตามรอยบ้าอำนาจของคนในรัฐบาลที่แล้ว

ส่วนนักร้องหิวแสง ก็รู้เช่นเห็นชาติกันอยู่ ว่ามีวิธีการเลือกกรณีร้องอย่างไร เป็นกลางจริงหรือไม่?

สังคมไทยจะขับเคลื่อนด้วยการร้องแบบมีเป้าหมายอย่างนี้จริงๆหรือ

อัคคี กัมปนาท

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *