24 ตุลาคม 2024

ดร.สุชาติ เสนอใช้เป๋าตัง แจกดิจิทัลวอลเล็ต 40 ล้านคน และออกพรก.กู้เงิน 3 แสนล้านบาท

0

เผยจะไม่มีปัญหาความมั่นคงทางการคลัง และไม่มีปัญหาการถูกลดเครดิตประเทศ แต่โครงการจะเพิ่มความเติบโตทางเศรษฐกิจและคืนทุนเองในปีต่อๆไป

31 ตุลาคม 2566 – ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์มหภาค และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โดยรวมแล้วดูจะมี 4 คำถามในนโยบายแจกดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทแก่ประชาชน คือ (1) ปริมาณเงิน 5.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 3% ของ GDP ดูจะมากไป จะหาเงินมาจากไหน (2) การแจกเงินให้ประชาชนเพื่อการบริโภค เกรงว่าจะไปกินไปใช้หมดไป ไม่ขยันทำงาน ควรนำไปลงทุนจะดีกว่า (3) กลัวว่าภาครัฐบาลจะเป็นหนี้มากเกินไป กลัวว่าประเทศถูกลดเครดิตเรตติ้ง และ (4) การใช้ระบบ Token Digital จะไม่โปร่งใส เกิดปัญหาคอร์รัปชั่น

“ผมขอเสนอแนะเป็นข้อๆ ดังนี้คือ ในข้อ (1) เนื่องจากเป็นนโยบายที่รัฐบาลหาเสียงไว้ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำเกินไป ปีนี้ (2566) เติบโต 2.7% และปีหน้าโต 3.6% รัฐบาลคงต้องกระตุ้นระบบเศรษฐกิจให้เติบโตในอัตราเหมาะสม โดยทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ประมาณ 40 ล้านคน (ที่ส่วนใหญ่ลงทะเบียนยืนยันตัวตนใน แอปเป๋าตัง ไว้แล้ว) สำหรับอีก 16 ล้านคน เป็นคนมีเงินอยู่แล้ว เอาเงินไปให้ก็คงไม่ใช้ ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นเงิน 4 แสนล้านบาท น่าจะฟื้นเศรฐกิจระยะสั้นได้ และเป็นการกระจายรายได้ด้วย สำหรับเงินที่ต้องใช้ ควรออกเป็น พรก.กู้เงินฯ เพื่อโครงการนี้”

ดร.สุชาติ กล่าวว่า สำหรับปัญหาการแจกเงินให้ประชาชนเพื่อการบริโภค เกรงว่าจะไปกินไปใช้หมดไปในข้อ (2)นั้น รัฐบาลควรเขียนข้อกำกับให้ประชาชนเอาเงินนี้ไปใช้เพื่อการลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งจะคล้ายกับโครงการกองทุนหมู่บ้าน หรือโครงการ SML ที่ได้ผลดีมาแล้ว แต่คราวนี้เป็นการให้เงินระดับครัวเรือน ตัวอย่างเช่น ให้ไปซื้อเมล็ดพันธุ์ ซื้อปุ๋ย ปรับปรุงที่ดินทำกิน ปรับปรุงร้านค้าตนเอง ส่งลูกหลานเรียนทักษะเพิ่มเติมเพิ่มทุนมนุษย์ จ้างงานจ้างเพื่อนบ้านมาช่วยทำถนน ทำแหล่งน้ำรอบๆบ้าน จะเป็นการใช้เงินเพื่อการลงทุนในระดับเล็กๆ (Micro Infrastructure) ถูกต้องตามคำแนะนำ แต่ที่ดีกว่าก็คือ การโอนเงินโดยตรงให้ประชาชน จะลดคอรัปชั่น ซึ่งการลงทุนของรัฐบาลเองยังมีคอรัปชั่นอยู่มาก และควรอนุญาตให้ประชาชนนำเงินไปชำระหนี้ได้ จะเป็นการลดหนี้ภาคครัวเรือน เจ้าหนี้ก็สามารถนำเงินไปลงทุนที่อื่นได้

ในข้อ (3) ที่มีการเสนอแนะกันมากใน 2 เรื่อง คือเรื่องวินัยการคลัง และเรื่องเครดิตเรตติ้งประเทศนั้น ดร.สุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันภาครัฐเป็นหนี้ 10.7 ล้านๆ บาท หรือ 61.5% ของ GDP จึงยังมีโอกาสที่รัฐบาลจะกู้มาลงทุนได้ ตามกรอบหนี้ไม่เกิน 70% ของ GDP ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องวินัยการคลัง สำหรับปัญหาด้านเครดิตของประเทศ เนื่องจากยังไม่ชัดเจนเรื่องแหล่งที่มาของเงิน จึงเกิดการถกเถียงกันมากในเรื่องนี้ จึงขอเสนอให้รัฐบาลออก พรก.กู้เงิน 3 แสนล้านบาท ใช้เงินคงคลังและปรับลดงบประมาณที่ฟุ่มเฟือยลงไปอีกกว่า 1 แสนล้าน ปัญหาเรื่องเครดิตเรตติ้งของประเทศก็จะไม่มี ตลาดทุนก็จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่จะยังคงมีปัญหาจากภายนอก เช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามฮามาส-อิสราเอล

ดร.สุชาติ กล่าวว่า สำหรับข้อ (4) เรื่องระบบดิจิทัลที่จะใช้นั้น ขอเสนอให้ใช้แอปเป๋าตัง ปรับปรุงชื่อเป็น ดิจิทัลวอลเล็ต เพราะทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ขจัดปัญหาเรื่องค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น และเรื่อง Token digital ว่าทำหน้าที่เป็นเงิน (ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหรือไม่) ซึ่งอาจมีปัญหาผิด พรบ.เงินตรา มาตรา 9 ที่ห้ามไม่ให้ผู้อื่นพิมพ์เงินขึ้นมาใช้ เพราะจะทำลายความเชื่อมั่น และรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไม่ได้ หากจะทำ Blockchain กำกับ ก็ทำที่ระบบตรวจสอบ 5-10 Nodes ก็เพียงพอ เพราะหากมี Nodes มากเกินไป ระบบจะช้ามาก ไม่สามารถทำงานได้ การใช้ระบบบาทดิจิทัล (Baht digital) มีเงินบาทหนุนจริง จึงไม่ผิดกฎหมาย

“หากรัฐบาลทำเช่นที่กล่าวมาข้างต้น ก็สามารถทำได้ทันที เดือนพฤศจิกายนก็สามารถปฏิบัตินโยบายได้ เศรษฐกิจไทยก็จะเจริญเติบโตได้มากขึ้น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ประกอบกับการดึงดูดนักท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างประเทศ ที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ ก็จะสามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้เฉลี่ย 5% ต่อปี โดยโครงการดิจิทัลฯ จะคืนทุนได้เองใน 3-4 ปีข้างหน้า” ดร.สุชาติ กล่าวในที่สุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *